นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บลจ.บัวหลวง แนะนำการลงทุนต่างประเทศว่า สำหรับผู้ลงทุนไทยที่ต้องการเกาะกระแสไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม
การลงทุนใน ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt:DR) ที่ บล.บัวหลวง เป็นผู้ออกเจ้าแรกและเจ้าเดียวของไทย สัญลักษณ์ “E1VFVN3001” ที่มีหลักทรัพย์รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทแรกในเวียดนาม ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
สำหรับประเด็นบวกที่หนุนการลงทุนหุ้นเวียดนาม มีด้วยกันหลากหลายปัจจัย เช่น
- ภาวะเศรษฐกิจเวียดนาม ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ดาวรุ่งแห่งเอเชีย” แม้ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 แต่ตัวเลข GDP ยังเติบโตเป็นบวก สะท้อนจากไตรมาส 2/64 ที่มีอัตราเติบโต 6.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามยังคงเป้าหมายอัตราการเติบโตของ GDP ทั้งปี 64 ระดับ 6.5% หนุนโดยภาคส่งออก หลังเวียดนามมีการเปิดประเทศเพื่อทำการค้าเสรีมากขึ้น ปัจจุบันอยู่อันดับ 3 ของโลก รองจากสิงคโปร์ และฮ่องกง โดยในเดือนพ.ค.64 เวียดนามมีมูลค่าส่งออกโต 36.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดว่าในปี 64 ตัวเลขส่งออกอาจเติบโตประมาณ 22%
- รัฐบาลเวียดนามยังมีนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้า วางเป้าหมายการลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตเกือบ 3 เท่า เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรชนชั้นกลางอาจขยายตัวประมาณ 2 เท่า
- รัฐบาลเวียดนามยังคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และ
- ปัจจุบันหุ้นหลาย ๆ ตัว ในเวียดนามมีความสนใจ สะท้อนจากราคาที่ยังคงมีอัพไซด์ เช่น หุ้น Vincom Retail (VRE) ซึ่งดำเนินธุรกิจคล้ายหุ้น CPN ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย, หุ้น Digiworld Corp (DGW) ผู้นำค้าปลีกไอทีที่มีโครงสร้างธุรกิจคล้ายหุ้น COM7 และหุ้น Viettel Post (VTP) ทำธุรกิจขนส่งที่เติบโตตามธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันหุ้นเด่น 3 ตัว มีค่า P/E ไม่สูงเฉลี่ย 28 เท่า 13 เท่า และ 20 เท่า ตามลำดับ ฉะนั้นถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนไทยที่ต้องการลงทุนตรงในตลาดหุ้นเวียดนามสามารถเปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศได้กับหลักทรัพย์บัวหลวง
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลขมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่เติบโตเกือบ 6 เท่า ปัจจุบันมีมูลค่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนบริษัทจดทะเบียนมีการขยายตัว 2 เท่า จาก 795 บริษัท เป็น 1,671 บริษัท ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของดัชนี VN30 ก็อยู่ระดับต่ำเพียง 14 เท่า ซึ่งถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่สำคัญทางการยังมีมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจในสายตาผู้ลงทุน”
นายรัฐศรัณย์ กล่าว
ปัจจุบันผู้ลงทุนไทยให้ความสนใจลงทุนใน DR “E1VFVN3001” อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลขมูลค่าตลาดที่เติบโตประมาณ 11 เท่า โดย ณ วันที่ 2 ก.ค.64 มีมูลค่าตลาดระดับ 7,008 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อสิ้นเดือน ธ.ค.61 ที่มีมูลค่าตลาดราว 600 ล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุน ย้อนหลัง 2 ปี อยู่ในระดับ 85% สูงกว่ากองทุนรวมในประเทศไทยที่ออกไปลงทุนหุ้นเวียดนามที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 40-68% ในแง่ของจำนวนผู้ลงทุน ปัจจุบันเติบโตกว่า 1.5 หมื่นราย
จุดเด่นของ DR “E1VFVN3001” เช่น
- ผู้ลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 10.30-16.30 น. โดยไม่มีพักกลางวัน
- สร้างโอกาสการลงทุนในหุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนามที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น E1VFVN30 ETF
- ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management fee) 2 ต่อ แตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่ต้นทางเรียกเก็บ และค่าธรรมเนียมที่ทางบริษัทจัดการกองทุนเป็นผู้เรียกเก็บ
- สามารถลงทุน ด้วยวิธี Dollar-Cost Averaging (DCA) ได้ ทั้งผ่านระบบ Streaming หรือบริการระบบออมหุ้นอัตโนมัติของบริษัท และ
- ผู้ถือ DR สามารถสมัครบริการธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) เพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนจากค่าธรรมเนียมการให้ยืม เป็นต้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ค. 64)
Tags: Depositary Receipt, กองทุนรวม, บล.บัวหลวง, บลจ.บัวหลวง, รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ, เวียดนาม