SECURE คาดผลงาน Q2/64 โตตามดีมานด์สินค้ากลุ่ม Network Security-WFH หนุน

นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว (SECURE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 จะเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความต้องการสินค้ากลุ่ม Network Security และสินค้ากลุ่มการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ Work From Home (WFH) เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย อีกทั้งเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นในยุค 5G จึงทำให้มั่นใจรายได้ปี 64 จะเติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15% หรือแตะ 800 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 639 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทฯ เชื่อว่าความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Cyber security ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ทั้งจากองค์กรภาครัฐ และเอกชน, การบังคับใช้พระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA จะทำให้องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องลงทุนในซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของ SECURE

โดยบริษัทฯ ได้เตรียมพัฒนาซอฟท์แวร์ของตนเองขึ้น ได้แก่ UCP และ PDPA Pro เพื่อรองรับความต้องการทั้งองค์กรขนาดใหญ่และ SMEs ในประเทศ, การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งจากเจ้าของผลิตภัณฑ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง รวมถึงมีโอกาสในการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเจ้าของผลิตภัณฑ์รายใหม่ และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาสัญญาเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้รายใหญ่จากต่างประเทศในอนาคตอันใกล้ และอยู่ระหว่างพิจารณาการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อที่จะเข้ามาเสริมความแข็งและการเติบโตของบริษัทในอนาคต

“บริษัทฯ ยังมีโอกาสอีกมากในการรับงานใหม่ๆ เพิ่ม ทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่คาดว่าจะต้องลงทุนเพิ่มในส่วนระบบบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล เมื่อ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย เริ่มมีผลบังคับใช้กลางปี 2565 จึงประเมินว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตอย่างมีศักยภาพ และก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายของบริษัทฯ คือ จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อสร้างฐานกำไรให้เติบโตอย่างมีศักยภาพในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับผู้ถือหุ้น”

นายนักรบ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ก.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top