นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (12 ก.ค.) คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่เตรียมเสนอให้บุคลากรทางการแพทย์ ได้รับวัคซีนเข็ม 3 (บูสเตอร์ โดส) เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งวัคซีนเข็ม 3 นี้จะต้องเป็นวัคซีนที่แตกต่างจากชนิดแรกที่เคยได้รับไปแล้ว
“คณะกรรมการวิชาการมีความเห็นว่า การฉีดวัคซีนซิโนแวก 2 เข็ม จะมีภูมิคุ้มกันลดลงได้หลังจากฉีดไประยะหนึ่งแล้ว จึงเป็นที่มาของการเสนอให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็ม 3 แก่บุคลากรแพทย์ด่านหน้า โดยจะต้องเป็นวัคซีนที่แตกต่างจากชนิดแรกที่ได้รับไป เช่น วัคซีนไวรัลเวคเตอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนชนิด mRNA ที่อนาคตจะได้รับการบริจาคส่วนหนึ่งจากไฟเซอร์ ซึ่งข้อเสนอของคณะกรรมการวิชาการนี้ จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อฯ เช้าวันจันทร์นี้”
นพ.โสภณ กล่าว
พร้อมระบุว่า มีข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 ของบุคลากรทางการแพทย์ ในช่วงการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่เม.ย. – 10 ก.ค. 64 พบว่า มีบุคลากรทางการแพทย์ ติดเชื้อโควิดแล้ว 880 ราย โดยส่วนใหญ่ 54% เป็นพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาล ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 20-29 ปี นอกจากนี้ ในบุคลากรแพทย์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ 97% ได้รับวัคซีนแล้ว ขณะที่มีบุคลากรแพทย์เสียชีวิต 7 ราย โดยในจำนวนนี้ 5 รายไม่ได้รับวัคซีน, มี 1 รายที่ได้รับวัคซีนซิโนแวก 1 เข็ม และอีก 1 รายที่ได้รับวัคซีนซิโนแวก ครบ 2 เข็ม ซึ่งรายหลังสุดนี้ คือพยาบาล ของรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
“พยาบาลที่เสียชีวิตนี้ ได้รับวัคซีนซิโนแวกเข็มแรกเดือนเม.ย. และเข็ม 2 เดือนพ.ค. แต่ด้วยการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องในการดูแลผู้ป่วยโควิดในเดือนมิ.ย. จึงมีโอกาสในการได้รับเชื้อ ประกอบกับมีภาวะเสี่ยง คือเป็นโรคอ้วน จึงทำให้เมื่อติดเชื้อแล้ว จะมีอาการรุนแรง”
รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพื่อสื่อสารให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญของการรับวัคซีนต้านโควิด ซึ่งผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจะมีอาการป่วยที่รุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่อย่างไรก็ดี จากการเปลี่ยนแปลงการระบาดในสายพันธุ์ของไวรัสโควิดจากอัลฟ่า (อังกฤษ) มาเป็นสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ที่ทำให้การป้องกันการแพร่ระบาดโดยวัคซีนซิโนแวกอาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพดีเท่าเดิม ดังนั้นผู้ที่เคยได้รับวัคซีนซิโนแวกครบ 2 เข็มไปแล้ว โดยเฉพาะบุคลากรแพทย์ด่านหน้าที่ถือว่ามีความเสี่ยง จึงควรได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนเข็ม 3
“คณะกรรมการวิชาการจึงเห็นว่า บุคลากรแพทย์ควรต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นอีก 1 เข็ม ซึ่งได้เตรียมวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า คาดว่าจะเริ่มได้ในสัปดาห์หน้า เพื่อฉีดเป็นเข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น แต่ถ้าใครจะรอวัคซีน mRNA ก็อาจต้องรออีกระยะหนึ่ง”
นพ.โสภณกล่าว
พร้อมระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป จากผลของสายพันธุ์ของไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ ย่อมจะทำให้แนวทางการให้วัคซีนจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อให้การฉีดวัคซีนสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้ดีขึ้น และให้ผู้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ให้แก่บุคลากรแพทย์นี้ จะมีการเก็บข้อมูลบันทึกไว้เป็นงานวิจัย โดยจะมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน และศึกษาว่าการฉีดวัคซีนเข็ม 3 จะได้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด และภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานเพียงใด ซึ่งจะเป็นข้อมูลทางวิชาการที่ประโยชน์ต่อบุคลากรแพทย์ และกลุ่มอื่นๆ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดได้ต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 64)
Tags: กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข, คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ, ฉีดวัคซีน, บุคลากรทางการแพทย์, วัคซีน, วัคซีนต้านโควิด-19, โสภณ เอี่ยมศิริถาวร