นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ ได้ประชุมเพื่อประเมินผลมาตรการช่วยเหลือในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค.63 -มิ.ย.64) พบว่าภาพรวมมีผลอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก โดยผลของมาตรการยา 2 สูตรเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ของโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ สูตรจ่ายเท่าที่ไหว โดยผ่อนปรนและจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามความสามารถ ยิ่งชำระมาก จะได้ส่วนลดดอกเบี้ยมากขึ้น
ผลของยาสูตรจ่ายเท่าที่ไหวแสดงให้เห็นว่า การได้รับส่วนลดดอกเบี้ยเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ทำให้ลูกหนี้ยังคงพยายามชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ภาพรวมลูกหนี้ 99% ยังคงชำระค่างวดได้ โดยลูกหนี้ 14,044 ราย หรือคิดเป็น 77% ชำระหนี้เฉลี่ย 80% ขึ้นไปของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 2% และจำนวน 2,467 ราย หรือคิดเป็น 14% ชำระหนี้เฉลี่ย 40-79.99% ของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 1% ส่วนจำนวน 1,520 ราย หรือคิดเป็น 8% ชำระค่าหนี้น้อยกว่า 40% ของค่างวด จะไม่ได้รับส่วนลดดอกเบี้ย และมีลูกหนี้ที่ใช้ยาสูตรจ่ายไม่ไหวที่ไม่ชำระค่างวดเลยมีเพียง 192 รายเท่านั้น คิดเป็น 1%
“จุดเด่นของมาตรการยา 2 สูตรที่ดำเนินการมาแล้ว ก็คือเป็นมาตรการที่ยึดความต้องการของลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง ทำให้สามารถช่วยเหลือ และตอบโจทย์ลูกหนี้ได้ตรงกับความต้องการ ควบคู่กับการใช้แรงจูงใจและกลไกตลาด ในการแยกคน 2 กลุ่มออกจากกัน ทำให้คลินิกแก้หนี้ลดภาระงานที่จะต้องประเมินลูกหนี้เป็นรายบุคคลไปมาก หากสถาบันการเงินนำกรอบความช่วยเหลือยา 2 สูตรไปใช้ จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นางธัญญนิตย์ กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนผลการดำเนินงานของโครงการคลินิกแก้หนี้ สิ้นสุดเดือนมิ.ย. 64 มีลูกหนี้เข้าโครงการรวม 60,578 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 4,670 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลูกหนี้ 1 ราย มีเจ้าหนี้ 3 ราย เฉลี่ยเงินต้น 244,444 บาท
นอกจากนี้ ตามที่สถานการณ์โควิดระลอกที่ 3 ยังคงน่าเป็นห่วง และส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ จึงเห็นชอบให้ขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไปจนถึงเดือน ธ.ค. 64 โดยลูกหนี้สามารถชำระหนี้ตามความสามารถหรือจ่ายเท่าที่ไหว ซึ่งจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1-2% ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ชำระเข้ามาในช่วงเวลามาตรการ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 1.รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ 80% ขึ้นไป จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 2% และ 2. รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ 40% แต่ไม่ถึง 80% จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1% โดยส่วนลดดอกเบี้ยที่คำนวณได้ จะถูกนำไปตัดเงินต้นในเดือน ม.ค.65 ซึ่งจะทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น
“สำหรับมาตรการช่วยเหลือในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้จะมีผลอัตโนมัติกับลูกหนี้ทุกราย และลูกหนี้ใหม่ในโครงการโดยไม่ต้องลงทะเบียน โดยที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อเนื่อง ซึ่งลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงนี้ สามารถขอผ่อนผันการชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของโครงการ ซึ่งลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ ขอให้ติดต่อโครงการเพื่อสอบถามรายละเอียด และผลการพิจารณาผ่อนผัน ขึ้นกับดุลยพินิจของโครงการ”
นางธัญญนิตย์ ระบุ
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ ยังเห็นชอบให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การสมัครเข้าโครงการ 2 ประการ คือ
- เกณฑ์ด้านอายุ จากเดิมไม่เกิน 65 ปี เป็นไม่เกิน 70 ปี (เมื่อรวมระยะเวลาการปรับโครงสร้างหนี้) และ
- ปรับอัตราดอกเบี้ยจากเดิม 4-7% เป็นอัตราเดียวที่ 5% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในโครงการ
การปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยขยายความช่วยเหลือให้ลูกหนี้ และช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ค. 64)
Tags: คลินิกแก้หนี้, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธปท., ธัญญนิตย์ นิยมการ, มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้, ลูกหนี้, หนี้สิน