นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสย่อตัวลง เช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่เช้านี้ปรับฐานกัน ตามดาวโจนส์ หลังราคาน้ำมันปรับฐานจากกังวลกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน จนทำให้ต้องเลื่อนประชุมโดยไม่มีกำหนด ส่งผลให้เกิดแรงขายออกมาก่อน นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐก็แข็งค่า-เงินบาทอ่อนค่า กดดัน Fund Flow ต่างชาติ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไม่ลด-ยังอยู่ในระดับสูง เป็นความเสี่ยงที่อาจจะมีมาตรการคุมแพร่ระบาดเพิ่มเติม พร้อมเล็งกลุ่มส่งออกเด่นวันนี้-รับบาทอ่อนค่า โดนให้แนวรับ 1,582-1,569 แนวต้าน 1,600 จุด
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะย่อตัวลง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้แกว่ง Sideway Down ในลักษณะปรับฐานกัน ตามดาวโจนส์ที่เมื่อคืนที่ผ่านมาได้ปรับตัวลง หลังจากราคาน้ำมันได้ปรับฐานจากความกังวลกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน จนเป็นเหตุให้ต้องเลื่อนการประชุมโดยไม่มีกำหนด ทำให้มีแรงขายออกมาก่อน
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็แข็งค่า ขณะที่เงินบาทอ่อนค่า ทำให้ไปกดดัน Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศรายวันก็ไม่ได้ลดลงเลย และยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เป็นความเสี่ยงที่อาจจะออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ให้ติดตามคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมของวันที่ 15-16 มิ.ย.
ทั้งนี้ วันนี้คาดว่าหุ้นในกลุ่มส่งออกน่าเด่น รับผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า พร้อมให้แนวรับ 1,582-1,569 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,577.37 จุด ลดลง 208.98 จุด (-0.60%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,343.54 จุด ลดลง 8.80 จุด(-0.20%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,663.64 จุด เพิ่มขึ้น 24.32 จุด (+ 0.17%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 21.67 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 380.81 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 295.05 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ค.) 1,591.43 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด (+0.77%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 105.95 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก.ค.64
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ก.ค.) ปิด 73.37 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.79 ดอลลาร์ หรือ 2.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ค.) อยู่ที่ 3.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.31 อ่อนค่าตามทั่วโลกรับความกังวลโควิดกลายพันธุ์
- ครม.เห็นชอบลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส จัดซื้อโมเดอร์นารอเคาะจำนวน พร้อมพ่วงซิโนแวคอีก 10.9 ล้านโดส วงเงิน 6,111 ล้าน ด้านที่ปรึกษาศบค.เผยไทย เข้าสู่การระบาด 4 หลังเดลตาระบาด กทม.เกิน 50% หาต้นตอไม่ได้ เตรียมถก “ล็อกดาวน์” วันที่ 11-12 ก.ค.นี้ พร้อมเคาะฉีดเข็ม 3 บุคลากรการแพทย์
- สรรพากรรับศึกษาเก็บภาษีขายหุ้น “เฟทโก้” เผยไม่เห็นด้วย หวั่นตลาดทุนไทยแข่งขัน-พัฒนายากขึ้น วอลุ่มเทรดลดฮวบ เสนอรัฐใช้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดมทุนเอสเอ็มอี เชื่อโจทย์ประเทศมากกว่า “นายกสมาคมบลจ.” คาด ความน่าสนใจลงทุน ตลาดหุ้น-กองทุนไทยลดลง “วัชระ แก้วสว่าง” หวังรัฐประเมินผลดีผลเสียรอบด้าน
- ส.อ.ท.โอดโควิดยืดเยื้อฉุดความเชื่อมั่นภาคอุตฯ ต่ำสุดรอบ 12 เดือน งวด มิ.ย.อยู่ระดับ 80.7 ติงการฉีดวัคซีนไม่ได้ตามเป้า เอสเอ็มอียังน่าห่วง หวังรัฐช่วยดูแล เสนอจัดซอฟต์โลนพิเศษหนุนกลุ่ม NPL ด้าน สรท.มั่นใจส่งออกปี 64 โต 7% วอนรัฐเร่งกระจายฉีดวัคซีน
- นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้คาดการณ์การส่งออกไทยปี 64 ขยายตัว 7% และมีโอกาสเติบโตถึง 10% เนื่องจากการฟื้นตัวแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก, ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงถึงระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ คือ การขาดแคลนแรงงานที่กลับไปประเทศตัวเอง และยังไม่ได้กลับมา, การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ โดยเฉพาะกรณีคลัสเตอร์การระบาดในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ เริ่มส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราวและการเลื่อนส่งมอบสินค้าไปยังประเทศปลายทางแล้ว อาจส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิม จะเห็นได้จากการปรับประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 64 ลดลงจาก 3% เหลือ 1.8% และปัจจัยการผลิตที่ไม่เพียงพอและต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เช่น สถานการณ์ชิพขาดแคลน ค่าระวางเรือสูง ราคาเหล็กสูงขึ้น
หุ้นเด่นวันนี้
- MENA (บมจ.มีนาทรานสปอร์ต) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มบริการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมีราคาขาย IPO 1.20 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 1.45 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2564-2565 จะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยคาดโตเฉลี่ย +21% CAGR ทั้งนี้ บริษัทฯเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการรถ Mixer ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กลับมาเติบโตทั้งภาคอสังหาฯ และโดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่เร่งตัวขึ้น หนุนความต้องการปูนซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จซึ่ง MENA มีแผนขยาย Fleet รถรองรับการเติบโตและใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ขณะที่ธุรกิจบริการรถ Trailer คาดทยอยปรับตัวขึ้นตาม Utilization Rate หลังมีโอกาสได้งานเพิ่ม
- ASIAN (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 18.9 บาท ได้ Sentiment บวกจากเงินบาทอ่อนค่า ด้านผลกำไร Q2/64 คาดเติบโต qoq และ yoy ตามปริมาณการส่งออกที่สูงขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มาร์จิ้นสูง
- NER (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 9 บาท คาดกำไร Q2/64 โดดเด่นที่ 400 ลบ. +9% Q-Q, +78% Y-Y ทำ New High ต่อเนื่องจากปริมาณขายที่โตต่อเนื่อง ขณะที่คำสั่งซื้อปัจจุบันยาวถึง Q4/64 แล้ว พร้อมคาดกำไรปี 2564 โตราว 1 เท่าตัวจากปีก่อนเป็น 1.6-1.7 พันลบ. ขณะที่ด้าน Valuation ยังถูกมาก เทรด PE เพียง 7 เท่าและให้ Dividend Yield 5.5% ช่วยจำกัด Downside
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ค. 64)
Tags: SET, SET Index, กรภัทร วรเชษฐ์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย, โนมูระ พัฒนสิน