นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของ ศบค.วานนี้ได้หารือเรื่องของวัคซีน และได้รายงานผลการประชุมให้นายกรัฐมนตรีรับทราบว่า ในช่วง 2 เดือนนี้ พบการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาทั่วโลกไปกว่า 96 ประเทศ
โดยในประเทศไทยช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. พบการแพร่ระบาดสายพันธุ์เดลตาแล้วกว่า 30% หากนับเฉพาะใน กทม.และปริมณฑล พบสายพันธุ์เดลตากว่า 50% ซึ่งระบาดเร็วกว่าอัลฟา 40% ทำให้เราคาดการณ์ว่าอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ทั้งโลกและประเทศไทยจะเป็นการระบาดที่มาจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าเกือบทั้งหมด
“ลักษณะพิเศษของสายพันธุ์เดลตา จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปอดอักเสบได้เร็วขึ้น ซึ่งใช้เวลาเพียง 3-5 วันก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว และส่งผลทำให้มีความต้องการเตียงสำหรับผู้ป่วยหนักเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเตียงสีแดง และหากปล่อยเหตุการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข”
นพ.อุดม กล่าว
ทั้งนี้ ไวรัสกลายพันธุ์จะทำให้เกิดการดื้อของภูมิที่เกิดจากวัคซีน ซึ่งก่อนหน้าเรามีวัคซีนเป็นตัวควบคุมการระบาด วัคซีนทำจากไวรัสตัวดั้งเดิม คือ ไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่น แต่ตัวกลายพันธุ์ยังไม่มี และตอนนั้นไวรัสที่ทำจากอู่ฮั่นได้ผลดีมาก แต่ตอนนี้กลายพันธุ์เป็นเดลตา อัลฟา ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงชัดเจน จึงเป็นเหตุผลสำคัญทำให้การกลายพันธุ์ ดื้อต่อภูมิที่เกิดจากวัคซีน ซึ่งไม่ใช่ว่าวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ แต่เกิดจากไวรัสได้กลายพันธุ์
“มีความจำเป็นต้องมีวัคซีนเจเนอเรชั่นใหม่ที่จะคลอบคลุมตัวกลายพันธุ์ทั้งหลาย ทั้งอัลฟา และเดลตา ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มี เขากำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็น แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวก ไฟเซอร์ โมเดอร์นา คาดว่าเร็วสุดปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า”
นพ.อุดม กล่าว
สำหรับวัคซีนที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เมื่อพบว่าติดเชื้อจากสายพันธุ์เดลตา จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง ส่วนการป้องกันโรคนั้น วัคซีนไฟเซอร์ป้องกันสายพันธุ์เดลตาลดลงจาก 93% เหลือ 88% ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ป้องกันสายพันธุ์เดลตาลดลงจาก 66% เหลือ 60% แต่ป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาล การเจ็บป่วยรุนแรง ไฟเซอร์ป้องกันได้ 96% แอสตร้าเซนเนก้าป้องกันได้ 92%
“ซิโนแวก ข้อมูลน้อย เราไม่มีข้อมูลว่าป้องกันได้เท่าไร แต่ถ้าเราเทียบจากภูมิต้านทานที่เราดู เราคิดว่าป้องกันสายพันธุ์เดลตาไม่ดีแน่ แต่ซิโนแวก 2 เข็ม จะป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง หรือเข้าโรงพยาบาล หรือป้องกันตายได้มากกว่า 90% ในข้อมูลในหลายประเทศที่ใช้ซิโนแวก และในประเทศไทยที่เราเก็บข้อมูลที่ภูเก็ต ที่เราฉีดซิโนแวกเยอะสุด”
นพ.อุดม กล่าว
พร้อมย้ำว่า การป้องกันไม่เจ็บป่วยรุนแรง จะช่วยให้ไม่ต้องไปโรงพยาบาล เพราะจำนวนเตียงที่มีขณะนี้ถือว่าตึงมากในทุกระดับ ทั้งสีเขียว เหลือง และแดง โดยเฉพาะสีแดงเหลือแค่เพียง 20-30 เตียง ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้หนักจริงๆ ในภาวะก่อนโควิดเฉพาะกรุงเทพ ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีเตียงสีแดงรวมกันประมาณ 230 เตียง แต่ต้องขยายเตียงเพิ่มเป็น 400 กว่าเตียง แต่แพทย์และพยาบาลยังเท่าเดิม
นพ.อุดม ระบุว่า แม้คนไข้ติดโควิดตามธรรมชาติ แต่มีข้อมูลออกมาว่าหลังติดเชื้อแล้วภูมิต้านทานจะลดลงเร็ว 3-6 เดือน และบางคนภูมิต้านทานกลับไม่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ระหว่างที่รอวัคซีนตัวใหม่ต้องมีกระบวนการในการสร้างภูมิเพิ่มขึ้น เพื่อไปต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์ หรือการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แต่ยอมรับในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลก หรือจากประเทศใดๆ ว่า ต้องฉีดเข็มที่ 3 มีเพียงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน มีการฉีดเข็มที่ 3 แต่หลักการสำคัญต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ให้ครบก่อน
นพ.อุดม กล่าวว่า วัคซีนซิโนแวกฉีด 2 เข็ม ค่าครึ่งชีวิตของระดับภูมิคุ้มกันอยู่ประมาณ 3-4 เดือน และจำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้น ซึ่งจากผลการประชุมคณะกรรมการวัคซีนเมื่อวานนี้ เห็นว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวกเป็นหลัก ต้องได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งต้องเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เพราะมีข้อมูลจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด พบว่าฉีดแอสตร้าเซนเนก้าครบ 2 เข็มแล้วเว้นไป 6 เดือน แล้วฉีดเข็ม 3 จะกระตุ้นภูมิต้านทานได้ 6 เท่าและปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงมากมาย
แต่ถ้าหากวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสเข้ามาได้เร็ว ทางคณะที่ปรึกษาฯจะให้คำแนะนำไปที่นายกรัฐมนตรีว่าควรจะให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดเป็นกลุ่มแรกก่อน ส่วนที่เหลือให้กับคนที่มีความเสี่ยงในกลุ่มโรคต่างๆ
ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวกครบ 2 เข็ม และเมื่อผ่านไป 3-4 เดือน ควรมีการฉีดเข็มที่ 3 และต้องเป็นวัคซีนตัวอื่น เช่น แอสตร้าเซเนก้า หรือวัคซีนประเภท mRNA
“ท่านทั้งหลายอย่าไปกรุณาดาวน์เกรดซิโนแวก แม้จะรู้ว่าการป้องกันประสิทธิภาพมันน้อยก็จริง แต่มันลดเจ็บป่วยรุนแรงไม่ต่างจากแอสตร้าเซนเนก้า หรือไฟเซอร์นัก ท่านฉีดไปก่อน เมื่อมีเข็ม 3 มา ซึ่งมีเวลา 3-6 เดือนข้างหน้า แล้วท่านรอคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุข”
อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชและจุฬาลงกรณ์ อยู่ระหว่างการทำวิจัยเรื่องเข็มที่ 3 ว่าวัคซีนตัวไหนที่เหมาะสม หรือ ดีที่สุด ซึ่งอีก 1 เดือนถึงจะทราบผล แต่ไม่แนะนำให้สลับฉีดวัคซีนระหว่างเข็ม 1 และ เข็ม 2 ควรรอฟังคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขก่อน ซึ่งให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษาและรอข้อมูลจากต่างประเทศ
“การให้บูตเตอร์โดส กลุ่มแรก ก็คือ คนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะไปสัมผัสโดยเฉพาะกับตัวเดลตา ซึ่งก็คือ บุคลากรทางการแพทย์ ที่มี 7 แสนกว่าคน ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ คนที่มีความเสี่ยงในกลุ่มโรคต่างๆ”
นพ.อุดม กล่าว
นพ.อุดม ยังชี้แจงว่า วัคซีนในกลุ่ม mRNA คือ ไฟเซอร์ จะฉีดฟรี แต่เร็วสุดที่ได้วัคซีนนี้คือในช่วงไตรมาส 4 (ต.ค.-ธ.ค.)
นอกจากนี้ คณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของ ศบค.ได้มีการตั้งคณะทำงาน นำผู้เชี่ยวชาญมาศึกษาว่า วัคซีนตัวไหนสามารถป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้ เพื่อจะให้รัฐบาลไปทำการจองวัคซีนก่อน เพราะคาดว่าวัคซีนคงจะออกมาในช่วงต้นปีหน้า และทางคณะที่ปรึกษาฯจะประชุมครั้งถัดไปในวันศุกร์นี้เวลา 9.30-12.00 น.ที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งตนเองได้มอบหมายให้เป็นโฆษกคณะที่ปรึกษาฯ จะทำหน้าที่ชี้แจงในรายละเอียดต่อไป
พร้อมกับยืนยันว่า การที่มาชี้แจงในวันนี้ไม่ได้เกิดจากประเด็นเรื่องวัคซีนในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา แต่ทางคณะกรรมการวัคซีนฯได้มีการหารือในประเด็นนี้มา 2-3 เดือนแล้ว ทั้งเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือการฉีดสลับยี่ห้อระหว่างเข็ม 1 และเข็ม 2 แต่อาจไม่ได้ชี้แจงเป็นทางการ ซึ่งข่าวที่ออกมาเป็นข่าวที่เล็ดรอดออกมา แต่อาจไม่เป็นข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ค. 64)
Tags: AstraZeneca, Moderna, Pfizer, Sinovac, ซิโนแวก, วัคซีนต้านโควิด-19, อุดม คชินทร, แอสตร้าเซนเนก้า, โมเดอร์นา, ไฟเซอร์