ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ TU วงเงินไม่เกิน 4 พันลบ.ที่ A+ แนวโน้ม Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนซึ่งไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ “A-” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่”

พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทที่ระดับ “A+” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ไปจ่ายชำระคืนหนี้เดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งของบริษัทในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลก รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย และตราสัญลักษณ์สินค้าที่เป็นที่รู้จักทั้งในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดจนลักษณะของธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ยากเนื่องจากมีโควต้าการจับปลาและต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงของอุตสาหกรรมในหลาย ๆ ด้าน อันได้แก่ ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบทางการค้าและกฎเกณฑ์การจับปลาทั่วโลก และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2564 อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง รวมถึงอัตรากำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้น 30.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 3.6 พันล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 11.4% ในไตรมาสแรกของปี 2564 จากระดับ 7%-10% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินที่แข็งแกร่งและการลงทุนที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 4.1 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลงจากระดับ 6.1 เท่าในปี 2562 และ 4.2 เท่าในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.1% ณ ไตรมาสแรกของปี 2564 จากระดับ 55.4% ในปี 2562 และ 52.3% ในปี 2563

สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 นี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแม้ว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายด้านก็ตาม ทั้งนี้ กลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และความพยายามในการลดต้นทุนของบริษัท ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากโรคโควิด 19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยเสริมให้บริษัทมีผลประกอบการที่มั่นคงได้

ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้และหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนจำนวน 3.4 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 8 พันล้านบาท

ตามข้อกำหนดทางการเงินสำหรับตราสารหนี้และเงินกู้ธนาคารที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยเกินกว่า 3 เท่า

ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.9 เท่า และอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่ 8.6 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาที่ประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่จนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้อ่อนแอลงกว่าที่คาด

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 มิ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top