“เฮลท์ลีด” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 72 ล้านหุ้น เข้า mai

คืนเงินกู้-เป็นเงินทุนหมุนเวียน

บมจ. เฮลท์ลีด ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.47 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ การจัดสรรแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 64,800,000 หุ้น เสนอขายต่อประชาชน และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7,200,000 หุ้น เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์ของการใข้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน

บริษัทฯประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัทย่อย ดังนี้ บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด (Icare Health Company Limited) (ไอแคร์ เฮลท์) เป็นบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100.00 โดยไอแคร์ เฮลท์ ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลายหลาย โดยจำหน่ายผ่านร้านขายยาทั้งหมด 4 แบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 24 สาขา ดังนี้ iCare 10 สาขา, PharmaX 10 สาขา, vitaminclub 3 สาขา และ Super Drug 1 สาขา

บริษัท เฮลทิเนส จำกัด (Healthiness Company Limited) (เฮลทิเนส) เป็นบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100.00 โดยเฮลทิเนส ประกอบธุรกิจหลักคือ คิดค้น พัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ ดังนี้ 1. PRIME เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ PRIME จำนวนทั้งหมด 24 SKU และ 2. Besuto เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก ซึ่งปัจจุบัน เฮลทิเนส จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Besuto ทั้งหมด 9 SKU โดยผลิตภัณฑ์ของเฮลทิเนส ปัจจุบันส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 791.21 ล้านบาทในปี 61 จำนวน 915.51 ล้านบาทในปี 62 และจำนวน 1,080.11 ล้านบาทในปี 63 สำหรับงวด 3 เดือนแรกของปี 64 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 258.72 ล้านบาท

กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกประเภทสินค้าในปี 61-63 โดยรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทจะมาจากรายได้จากการขายยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70.78 ถึงร้อยละ 72.77 ของรายได้จากการขายรวม และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 15.78 รวมถึงรายได้จากการขายอุปกรณ์การแพทย์และของใช้ในบ้านที่มีสัดส่วนการขายรองลงมาที่ประมาณร้อยละ 14.25 ถึงร้อยละ 15.91 ของรายได้จากการขายรวม และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 21.80

รายได้จากการขายในงวด 3 เดือนแรกของปี 2564 ลดลงร้อยละ 16.39 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่รายได้ส่วนใหญ่ยังคงประกอบไปด้วยรายได้จากการขายยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอุปกรณ์การแพทย์และของใช้ในบ้านที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70.64 และ 15.16 ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ

ในปี 61-63 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 0.39 ล้านบาท จำนวน 21.77 ล้านบาท และจำนวน 52.08 ล้านบาท ถึงแม้ว่าต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่หากเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายในช่วงปี 61-63 จะพบว่าสัดส่วนดังกล่าวมีค่าลดลงเรื่อย ๆ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นในทุกปีที่ร้อยละ 17.66 ร้อยละ 20.09 และร้อยละ 21.89 ในช่วงปี 61-63 จาก Synergy ที่เกิดจากการรวมธุรกิจของ ไอแคร์ เฮลท์ และ เฮลทิเนส จึงทำให้กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังได้รับอานิสงค์จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มการระบาดในช่วงปลายปี 62 ถึงต้นปี 63 ที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าบางประเภท เช่น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือประเภทต่างๆ อีกด้วย

สำหรับงวด 3 เดือนแรกปี 64 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 14.39 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.56 โดยอัตรากำไรสุทธิลดลงจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 7.41 แต่เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 4.82 จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากการรวมธุรกิจของ ไอแคร์ เฮลท์ และ เฮลทิเนส

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 136 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 100 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 136 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 272 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 16 ธ.ค.63 ประกอบด้วย ภญ.มัทยา พันธุกานนท์ ถือหุ้น 117,375,000 หุ้น คิดเป็น 58.69% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 43.15% รองลงมา ภก.ศุภกร พันธุกานนท์ ถือหุ้น 65,562,500 หุ้น คิดเป็น 32.78% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 24.10% และนพ.ธัญกร พันธุกานนท์ ถือหุ้น 13,062,500 หุ้น คิดเป็น 6.53% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 4.80%

บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top