Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุมีความเป็นไปได้สูงที่มูลค่าส่งออกของไทยในปีนี้อาจปรับลดลงมากกว่าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ -5.8% เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลไปยังภาคเศรษฐกิจจริงของหลายประเทศทั่วโลกให้มีแนวโน้มหดตัว ประกอบกับปัญหา supply chain disruption ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากมาตรการควบคุมโรคของหลายประเทศ อีกทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าส่งออกของไทยโดยเฉพาะสินค้าที่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน
“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ลุกลามรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าคาด ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับแย่มากกว่าที่เคยคาด รวมถึงปัญหา supply chain disruption ที่จะมีมากขึ้นตามจำนวนประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ EIC คาดว่ามีแนวโน้มสูงที่การส่งออกทั้งปี 2020 จะปรับลดลงมากกว่าที่เคยคาด (เดิมคาดไว้ที่ -5.8%)” เอกสารเผยแพร่ ระบุ
เนื่องจากการส่งออกไทยเดือน ก.พ.63 ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว โดยมูลค่าการส่งออกหากหักอาวุธและทองคำจะขยายตัวเพียง 0.1%YOY แต่ในภาพรวมมูลค่าการส่งออกหดตัวที่ -4.5% เนื่องจากการส่งออกทองคำเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนภาวะการค้าแท้จริง และหักการส่งกลับอาวุธที่นำมาเพื่อซ้อมรบของเดือน ก.พ.ปีก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยพิเศษที่ไม่ได้สะท้อนภาวะการค้าเช่นเดียวกัน ทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.1%YOY ซึ่งสะท้อนว่าการส่งออกไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
โดยการส่งออกทองขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ 178.4%YOY โดยได้รับแรงสนับสนุนจากราคาที่สูงขึ้น ซึ่งมีตลาดส่งออกหลักคือสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ส่วนสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (6.5%YOY), รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (28.9%YOY), ผลิตภัณฑ์ยาง (11.9%YOY), ยางพารา (6.2%YOY), และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป (4.7%YOY) ขณะที่มูลค่าการส่งออกของหลายสินค้าสำคัญมีการหดตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก (-20.9%YOY), เคมีภัณฑ์ (-11.9%YOY), เหล็กและผลิตภัณฑ์ (-10.6%YOY), รถยนต์และส่วนประกอบ (-4.7%YOY), ข้าว (-26.6%YOY) และเครื่องใช้ไฟฟ้า (-2.8%YOY) ตามอุปสงค์ตลาดโลกที่ซบเซา ทั้งนี้การส่งออกอาวุธหดตัวสูงถึง -99.7%YOY จากปัจจัยฐานสูงในเดือนเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีการส่งกลับอาวุธซ้อมรบไปยังสหรัฐฯ
ภาวะการส่งออกรายตลาดพบว่ามีหลายตลาดสำคัญพลิกกลับมาหดตัว โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และเกาหลีใต้ โดยการส่งออกไปจีนกลับมาหดตัวที่ 2.0%YOY จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงถึง 5.2%YOY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัวคือ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์, การส่งออกไปญี่ปุ่นหดตัวสูงที่ 11.1%YOY โดยสินค้าที่หดตัวได้แก่ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ, การส่งออกไปประเทศอื่นที่มีผู้ติดเชื้อสูงในเดือน ก.พ.มีการหดตัวเช่นกัน ได้แก่ ฮ่องกง (-3.0%YOY) เกาหลีใต้ (-1.5%YOY), การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวถึง 18.3%YOY (หักการส่งกลับอาวุธเดือน ก.พ. ปีก่อน) โดยการขยายตัวมาจากสินค้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และผลิตภัณฑ์ยาง, การส่งออกไป CLMV พลิกกลับมาขยายตัวที่ 5.8%YOY จากเดือนก่อนที่หดตัว 0.7%YOY โดยสินค้าสำคัญขยายตัวคือ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักรกล, การส่งออกไป EU15 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 1.7%YOY สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าหดตัวชะลอลงที่ -4.3%YOY โดยหดตัวในทุกกลุ่มสินค้า ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (-12.1%YOY) ที่พลิกกลับมาหดตัวจากการที่ขยายตัวในเดือนก่อนหน้าตามราคาน้ำมันที่ลดลง ด้านการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบก็หดตัวเช่นกันที่ -9.0%YOY และ -5.5%YOY ตามลำดับ สะท้อนแนวโน้มการส่งออกที่ซบเซาในระยะข้างหน้า ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคก็หดตัวเช่นกันที่ -6.8%YOY
SCB EIC ระบุว่า ในระยะต่อไปคาดว่าการส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวจากการชะลอลงหรือหดตัวของเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลก โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องมีมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด อาทิ การปิดเมือง ห้ามเดินทางสัญจร จึงย่อมส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกที่จะลดลงอย่างมาก
ในส่วนของปัญหา supply chain disruption จะส่งผลต่อภาคส่งออกของไทยใน 2 ประเด็น ได้แก่
- ไทยส่งออกสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางลดลง เนื่องจากอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของหลายประเทศ โดยมาตรการควบคุมโรคของหลายประเทศมีแนวโน้มสร้างอุปสรรคต่อการผลิตสินค้าในประเทศดังกล่าว ดังนั้น เมื่อเกิดการหยุดชะงักของภาคการผลิตในประเทศต้นทาง ย่อมส่งผลต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางจากไทยที่ลดลง
- ไทยมีอุปสรรคในการผลิตสินค้าส่งออก เนื่องจากต้องพึ่งพาสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มหยุดการผลิตบางส่วนจากมาตรการควบคุมโรค จึงทำให้บริษัทไทยที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบขั้นกลางจากประเทศดังกล่าวไม่สามารถผลิตสินค้าได้ เนื่องจากขาดวัตถุดิบ
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมาก ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกที่ลดลง ซึ่งที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับลดลงอย่างรุนแรงจากสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ การลดลงของอุปสงค์น้ำมันดิบตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับลดลงอย่างมาก และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันดิบ เนื่องจากความล้มเหลวในการเจรจาลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย โดยการลดลงของราคาน้ำมันดิบนอกจากจะส่งผลต่อราคาสินค้าส่งออกของไทยหลายประเภท อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทแล้ว ยังส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มส่งออกน้ำมัน (oil-exporter) ที่จะมีรายได้จากน้ำมันลดลง ขณะที่กลุ่มประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน (oil-importer) ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมากนัก เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจโลกต่อเนื่อง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 63)
Tags: COVID-19, SCB, SCB EIC, ธนาคารไทยพาณิชย์, ส่งออก, โควิด-19