ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 มี.ค.) โดยแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงินไม่จำกัด แต่ก็ไม่สามารถทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากหลายรัฐในสหรัฐประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปที่กำลังดำเนินการในขณะนี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,591.93 จุด ร่วงลง 582.05 จุด หรือ -3.04%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,860.67 จุด ลดลง 18.84 จุด หรือ -0.27%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,237.40 จุด ลดลง 67.52 จุด หรือ -2.93%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง แม้ว่าเฟดได้เข้าแทรกแซงตลาดครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ ด้วยการทำ QE แบบไม่จำกัดวงเงิน, เข้าซื้อหุ้นกู้ของภาคเอกชนเป็นครั้งแรก โดยจะซื้อหลักทรัพย์ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในขั้นน่าลงทุน ทั้งในและนอกตลาด รวมทั้งจะเข้าซื้อกองทุน ETFs นอกจากนี้ เฟดจะเพิ่มวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สำหรับโครงการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ และโครงการสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันที่มีการใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงิน
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์โรเบิร์ต ดับเบิลยู บาร์ด กล่าวว่า ความพยายามของเฟดได้ถูกบดบังด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างอย่างยิ่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการที่หลายรัฐในสหรัฐได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอความชัดเจนว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะอนุมัติมาตรการเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหรือไม่ โดยขณะนี้มาตรการดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการอภิปรายของวุฒิสภา
รายงานระบุว่า ขณะนี้รัฐ 13 แห่งจากจำนวน 50 แห่งในสหรัฐได้ประกาศมาตรการห้ามประชาชนเดินทางสัญจร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้สหรัฐมีแนวโน้มที่จะเป็นเหมือนประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ซึ่งรวมถึงอิตาลีและสเปน ที่ดำเนินการล็อกดาวน์ไปแล้วก่อนหน้านี้
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจฉุดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลกหดตัวลงประมาณ 1% ในปีนี้ และคาดว่าอาจฉุด GDP ของสหรัฐหดตัวลง 24% ในไตรมาส 2 เนื่องจากการที่รัฐบาลทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐ ออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ทางด้านนายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ เตือนว่า อัตราว่างงานในสหรัฐอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 30% ในไตรมาส 2 ปีนี้ อันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งหากการคาดการณ์ของนายบุลลาร์ดเกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับว่าอัตราว่างงานในสหรัฐจะพุ่งขึ้นรุนแรงกว่าในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) และพุ่งขึ้นถึง 3 เท่าจากระดับอัตราว่างงานในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยเมื่อปี 2550-2552
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 6% หลังจาก GE Aviation ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GE ประกาศแผนการปรับลดพนักงานในอัตราส่วน 10% ของการจ้างงานในองค์กร เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการเดินทางทางอากาศ
หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.12% ส่งผลให้มูลค่าตลาดของแอปเปิลลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.82 แสนล้านดอลลาร์ เป็นรองไมโครซอฟท์ซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี หุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้น 11.17% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโบอิ้งสู่ระดับ “buy”
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ., ดัชนีราคาบ้านเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2562, กำไรภาคเอกชนไตรมาส 4/2562, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 63)
Tags: dowjones, Nasdaq, S&P500, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก