ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ประเมินผลกระทบต่อภาคการค้าไทย-จีนจากการที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการเข้มงวดชัตดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดจะทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2563 มูลค่าการค้าไทยไปจีนลดลงราว 2.4 แสนล้านบาท หรือหดตัว 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 1.6% ของมูลค่าการค้ารวม และประเมินว่าสถานการณ์การค้าไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ประมาณครึ่งปีหลัง ตามการคาดการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง
เมื่อพิจารณาผลกระทบรายกลุ่มสินค้าจะพบว่า สินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบในระดับสูง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ (ลดลง 22.7 พันล้านบาท) ยางพารา (ลดลง 15.2 พันล้านบาท) และสินค้าเกษตร (ลดลง 8.0 พันล้านบาท) จะเห็นว่ากลุ่มสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกรและแรงงานที่อยู่ในภาคการผลิตสินค้าวัตถุดิบที่เน้นส่งออกไปยังตลาดจีน
ด้านสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบจากจีนหยุดผลิตหรือไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ ได้แก่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (ลดลง 53.4 พันล้านบาท) เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (ลดลง 26.8 พันล้านบาท) และเครื่องจักรและชิ้นส่วน (ลดลง 15.9 พันล้านบาท) จะพบว่าสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจะเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามาบริโภคในประเทศและส่วนหนึ่งเป็นสินค้าวัตถุดิบต้นทุนต่ำจากจีนที่ผู้ประกอบการนำเข้ามาเพื่อผลิตแล้วขายในประเทศหรือส่งออกต่อ
ดังนั้นในกลุ่มผู้ผลิตที่นำเข้าวัตถุดิบจากจีนมีความจำเป็นที่จะต้องมองหาแหล่งนำเข้าอื่นๆ เพื่อมาชดเชยในช่วงครึ่งปีแรกที่วัตถุดิบจากจีนหายไป ทั้งนี้ประเมินว่าสถานการณ์การผลิตในจีนจะหดตัวอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกและน่าจะกระทบต่อเนื่องมาถึงไตรมาสสอง ซึ่งคาดว่าผลของการขาดแคลนสินค้าวัตถุดิบจะไม่กระทบต่อการผลิตในระยะสั้นๆ มากนัก เพราะผู้ผลิตยังพอผลิตสินค้าได้จากสต๊อกของวัตถุดิบที่ยังคงเหลืออยู่บ้างและอาจหันไปสั่งซื้อจากซัพพลายเชนประเทศอื่นๆ ทดแทน แต่ต้องยอมรับว่าการหาวัตถุดิบจากแหล่งใหม่ต้นทุนจะสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยวิเคราะห์ผ่านโครงสร้างรายได้จากการส่งออกและนำเข้าปี 2562 โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกผู้ได้รับผลกระทบมีสัดส่วนการค้าพึ่งพิงตลาดจีนสูงกว่า 30% ขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจะเป็นผู้นำเข้า และเมื่อเจาะลึกผลกระทบต่อขนาดธุรกิจพบว่ากว่า 90% ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีนจะเป็นกิจการ SMEs ซึ่งได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วน 33% ของมูลค่าการค้าไปจีน ขณะที่ 10% ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีนเป็นกิจการขนาดใหญ่ แต่หากคิดเป็นผลกระทบเชิงมูลค่าการค้าคิดเป็นสัดส่วนถึง 67% ของมูลค่าการค้าไปจีนรวม
ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์การค้ากับจีนจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะค่อยๆ รุนแรงลดลง อย่างไรก็ตาม หากการแพร่ระบาดยืดเยื้อจนทำให้ภาคการผลิตจีนชัตดาวน์ออกไปเกินกว่าครึ่งปีแรก คาดว่าจะส่งผลต่อซัพพลายเชนในประเทศ ทำให้วัตถุดิบขาดแคลน และส่งผลกระทบทำให้ผู้ผลิตที่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนมีต้นทุนการนำเข้าจากแหล่งอื่นที่สูงขึ้น จนทำให้ผู้ผลิตบางกลุ่มรับไม่ไหว ชะลอการผลิตออกไป ทำให้รายได้ของกิจการลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการจ้างงานในประเทศ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มี.ค. 63)
Tags: COVID-19, ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้, ส่งออก, สินค้าไทยจีน, โควิด-19