นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยราคาแพง และการกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึงว่า วันนี้ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดราคาจำหน่ายปลีกสูงสุดหน้ากากอนามัยแบบสีเขียว ที่กำลังเป็นที่ต้องการใช้ในประเทศ ไว้ที่ราคาไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท สำหรับหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ในประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันที
ส่วนหน้ากากอนามัยในสต็อกเก่าที่โรงงานขายตรงให้กับผู้จำหน่ายต่างๆ ไปก่อนหน้านี้ในราคาสูงกว่าที่ส่งให้กับกระทรวงพาณิชย์นั้น กกร.จะให้เวลาเคลียร์สต็อกให้หมดภายใน 3 วัน โดยตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.63 เป็นต้นไป ผู้ค้าปลีกทุกรายจะต้องจำหน่ายหน้ากากอนามัยปลีกชิ้นละ 2.50 บาททั้งหมด หากขายเกินราคาสูงสุดที่กำหนดไว้ จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนหน้ากากอนามัยนำเข้านั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้ลงนามในประกาศ กกร.วันนี้และมีผลทันทีเช่นกัน โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องแสดงต้นทุนนำเข้ากับกรมการค้าภายใน และสามารถบวกค่าบริหารจัดการ เช่น ต้นทุนค่าบริหาร การขนส่ง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริหารงานบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าตอบแทน รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 60% ของต้นทุนนำเข้า เช่น สินค้านำเข้าชิ้นละ 100 บาท ราคาขายบวกได้เป็น 160 บาท หรือราคานำเข้า 1 บาท บวกได้เป็น 1.60 บาท เป็นต้น ซึ่งการกำหนดราคาจำหน่ายปลีกสูงสุดดังกล่าว จะไม่รวมหน้ากากอนามัยแบบผ้าที่เป็นหน้ากากทางเลือก ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมและผลักดันให้มีการผลิตอยู่ในขณะนี้
สำหรับมาตรการห้ามกักตุนสินค้านั้น กกร.ยังไม่ได้ออกประกาศกำหนดให้ผู้ที่มีหน้ากากอนามัยเกินกว่าปริมาณที่กำหนดจะต้องแจ้งปริมาณการครอบครอง เพราะยังไม่ได้กำหนดปริมาณครอบครองชัดเจน เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อองค์กรหรือหน่วยงานที่มีหน้ากากอนามัยจำนวนมาก เช่น โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีการเปลี่ยนแปลง หรือเห็นว่ามีปัญหา ก็จะออกคำสั่ง กกร.เพื่อบังคับใช้ต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงแผนการกระจายหน้ากากอนามัยว่า ได้สรุปตัวเลขการผลิตที่ชัดเจนแล้ว พบว่า โรงงานที่มีอยู่ 11 โรงงาน มีกำลังการผลิตรวมกันวันละ 1.2 ล้านชิ้น ลดลงจากเดิม 1.35 ล้านชิ้น เพราะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ หรือมียอดผลิตรวมเดือนละ 36 ล้านชิ้น ซึ่งจะต้องส่งให้ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยทั้งหมด โดยในจำนวนนี้ วันละ 700,000 ชิ้น จะมอบให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปกระจายให้กับโรงพยาบาล สถานพยาบาลทุกสังกัด ส่วนอีก 500,000 ชิ้น กรมการค้าภายในจะเป็นผู้ระบายให้กับประชากร 60 ล้านคน ผ่านช่องทางที่มีอยู่เดิม ทั้งร้านค้าส่ง ค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านธงฟ้า และรถโมบายวันละ 111 คันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ กกร.ยังได้ออกประกาศกำหนดให้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นสินค้าที่จะต้องขออนุญาตก่อนปรับขึ้นราคา และต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะปรับราคาได้ เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง เนื่องจากพบว่าขณะนี้ราคาสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มี.ค. 63)
Tags: กรมการค้าภายใน, กระทรวงพาณิชย์, กักตุนสินค้า, ขายหน้ากากเกินราคา, หน้ากากขาดแคลน, หน้ากากผ้า, หน้ากากอนามัย, แจกหน้ากากอนามัย, โควิด-19