รายงาน “สเตท ออฟ เดอะ เชนส์” (State of the Chains) ประจำปี 2563 ของศูนย์เพื่ออนาคตเมือง (Center for an Urban Future) ในสหรัฐบ่งชี้ว่า ร้านสาขาชื่อดังระดับประเทศจำนวนเกือบ 1 ใน 7 ของนครนิวยอร์กได้ประกาศปิดกิจการในปี 2563 หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภค
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานดังกล่าวระบุว่า ร้านสาขาในนครนิวยอร์กประกาศยุติกิจการสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,057 แห่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงร้านดูเอน รีด (Duane Reades) 70 แห่ง ร้านสตาร์บัคส์ (Starbucks) 49 แห่ง และร้านปาปีรัส (Papyruses) 22 แห่ง โดยทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 13.3% นับตั้งแต่เริ่มบันทึกข้อมูลเมื่อ 13 ปีก่อน ส่วนสถิติในปี 2562 อยู่ที่ 3.7% และปี 2561 อยู่ที่ 0.3%
นายโจนาธาน โบว์ลส์ กรรมการบริหารของศูนย์เพื่ออนาคตเมืองกล่าวว่า “ถ้าร้านสาขาระดับประเทศมีจำนวนลดลงเช่นนี้ ผมเชื่อว่าบรรดาร้านโชห่วยคงได้รับผลกระทบมากกว่านี้เป็น 2 เท่า เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถในการรับมือวิกฤตหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้”
แมนฮัตตันเป็นย่านที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในบรรดา 5 ย่านของนครนิวยอร์ก โดยมีร้านสาขาปิดตัวลง 520 แห่ง ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของร้านสาขาทั้งหมดในเมือง เนื่องจากเศรษฐกิจของแมนฮัตตันขึ้นอยู่กับพนักงานออฟฟิศ นักท่องเที่ยว และผู้อาศัยฐานะร่ำรวยที่ขณะนี้ได้ย้ายออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว
รายงานบ่งชี้ว่า ร้านขายแซนด์วิชที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็นพนักงานออฟฟิศซึ่งหลายคนทำงานจากที่บ้านตั้งแต่เดือนมี.ค. เป็นหนึ่งในร้านสาขาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะเดียวกันกลับมีร้านค้า 40 แห่งที่ประกาศเปิดร้านสาขาเพิ่ม อาทิ ร้านไก่ทอดป็อบอายส์ (Popeyes) ที่เปิดร้านสาขาเพิ่มอีก 11 แห่ง
อย่างไรก็ดี นายโบว์ลส์เชื่อว่า ภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมอาหารจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พร้อมคาดการณ์ว่าเมื่อการระบาดใหญ่คลี่คลาย คนงานจำนวนมากจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 63)
Tags: XINHUA, นิวยอร์ก, ปิดกิจการ, ร้านโชห่วย, สตาร์บัคส์, สเตท ออฟ เดอะ เชนส์, แมนฮัตตัน, โจนาธาน โบว์ลส์