สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประชาชนกว่า 2.1 ล้านคนใน 6 ประเทศ ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ล็อตแรกแล้ว ซึ่งนับเป็นการเริ่มโครงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในความท้าทายด้านการขนส่งครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วย
สหรัฐเริ่มฉีดวัคซีนครั้งแรกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ระบุว่า สหรัฐได้ฉีดวัคซีนจำนวน 614,117 โดสให้แก่ประชาชนแล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจากการแจกจ่ายวัคซีนตัวที่ 2 จากบริษัทโมเดอร์นา อิงค์
ทั้งนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กกำลังติดตามปริมาณการวัคซีนในระดับรัฐและเขตแดนเพื่อให้เห็นภาพรวมของการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ
รายงานระบุว่า สหรัฐได้จัดสรรวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคจำนวน 5.1 ล้านโดส และแจกจ่ายวัคซีนจากโมเดอร์นา 6 ล้านโดสภายในสัปดาห์นี้ โดยวัคซีนทั้ง 2 ตัวจะต้องฉีด 2 โดส และทิ้งระยะห่างจากโดสแรกหลายสัปดาห์ โดยวัคซีนโดสที่ 2 จะถูกเก็บรักษาไว้จนกว่าจะพร้อมฉีดอีกครั้ง
แคนาดาและอังกฤษเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ได้อนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคแล้ว และคาดว่าสหภาพยุโรป (EU) จะอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนโควิดเป็นกรณีฉุกเฉินได้อย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้า โดยวัคซีนของไฟเซอร์และวัคซีนจากโมเดอร์นามีประสิทธิภาพในการต้านโควิด 95% จากการทดลองกับอาสาสมัครหลายหมื่นคน
ประเทศอื่นๆ รวมถึงอิสราเอลได้เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้ว ขณะที่จีนและรัสเซียได้อนุมัติใช้วัคซีนของตนเองตั้งแต่เดือนก.ค.และส.ค.ที่ผ่านมาก่อนที่จะได้รับการทดลองอย่างสมบูรณ์ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้ง 2 ประเทศได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้วหลายแสนคน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 63)
Tags: COVID-19, จีน, รัสเซีย, วัคซีน, วัคซีนต้านโควิด-19, สหภาพยุโรป, สหรัฐ, อังกฤษ, อิสราเอล, แคนาดา, โควิด-19, โมเดอร์นา, ไบโอเอ็นเทค, ไฟเซอร์