แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX กำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 300 ล้านหุ้น ที่ราคา 28 บาท/หุ้น จากช่วงราคา 25-28 บาท/หุ้น และคาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้
เคอรี่ เอ็กซ์เพรสฯ เป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุครบวงจรและครอบคลุมในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าในกลุ่มภาคธุรกิจการจัดส่งพัสดุแบบบุคคล-ส่งถึง-บุคคล (C2C) ภาคธุรกิจการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจ-ส่งถึง-บุคคล (B2C) และภาคธุรกิจการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจ-ส่งถึง-ธุรกิจ (B2B) บริษัทให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนผ่านเครือข่ายทั่วประเทศ
บริษัทเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 300 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 17.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO โดยเสนอขายให้กับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณของบริษัท พนักงานของบริษัท และบุคคลที่มีความสัมพันธ์ซึ่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัท ระหว่างวันที่ 8-9 และ 14 ธ.ค.63 และเสนอขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ และผู้ลงทุนในต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค.63 โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายเครือข่ายจัดส่งพัสดุด่วน โดยมีแผนการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ได้แก่ การเช่าพื้นที่เพื่อเพิ่มจำนวนศูนย์คัดแยกพัสดุ จุดให้บริการ และศูนย์กระจายพัสดุแห่งใหม่ รวมถึงการซื้อและติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบกิจการ เพื่อตอบสนองความต้องการของการบริการจัดส่งพัสดุด่วนที่เพิ่มขึ้น
นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ KEX ที่ระดับ 28 บาท/หุ้น นับเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่า และประมาณ 10 เท่า จากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ KEX ในฐานะผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ด้วยศักยภาพที่โดดเด่น และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
ปัจจุบัน KEX ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท และมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ด้วยจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง พร้อมศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง ทั้งยังมีศักยภาพในการให้บริการ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วน โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัท
นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ KEX กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 8,400 ล้านบาท ไปขยายเครือข่ายจัดส่งพัสดุด่วน ลงทุนในระบบการขนส่ง และพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ, ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
พร้อมกันนี้ยังมองว่า KEX จะเติบโตไปพร้อมกันกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งคาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 20% ภายในอีก 5 ปี (63-67) จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งยอดขายออนไลน์จากยอดขายปลีกรวมทั้งหมด 3.7% ในปี 62 ซึ่งถือว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แสดงให้เห็นถึงโอกาสเติบโตสูงในอนาคต รวมถึงจะเติบโตในลักษณะ Organic Growth ด้วย โดยมีความสนใจที่จะเข้าลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกันเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 60-62) คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยที่ 72.8% และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 34.9% ขณะที่ 9 เดือนของปี 63 บริษัทมีรายได้เติบโต 0.2% มาที่ 14,689 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,030 ล้านบาท เติบโต 14.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อนึ่ง KEX เริ่มให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยปี 2549 โดยเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจด้านการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทยและเป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทยที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันได้ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท ทั้งการจัดส่งพัสดุแบบบุคคล-ส่งถึง-บุคคล (C2C) การจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจ-ส่งถึง-บุคคล (B2C) และการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจ-ส่งถึง-ธุรกิจ (B2B)
พร้อมกันนี้ยังมีปริมาณการจัดส่งพัสดุด่วน โดยเฉลี่ยของพัสดุที่จัดส่งต่อวัน (ข้อมูลของ Frost & Sullivan) ในปี 2557 -2562 ที่บริษัทจัดส่งมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 134.9% และเป็นผู้ให้บริการการเรียกเก็บเงินปลายทาง (Payment-on-Delivery) ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในแง่ของมูลค่าธุรกรรม โดยมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนธุรกิจและการให้บริการที่แข็งกร่งยิ่งขึ้น ทั้งการลงทุนด้านเทคโนโลยี พัฒนาศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากรเพื่อรองรับการติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ส่งสริมความข้มแข็งแก่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย รวมถึงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและวิถีชีวิตของคนไทยให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
ณ วันที่ 30 ก.ย.63 มีจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีศูนย์คัดแยกพัสดุหลัก 9 แห่ง ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง และ รถจัดส่งพัสดุภายใต้การบริหารของบริษัทกว่า 25,000 คัน
ขณะที่จุดแข็งของบริษัท ประกอบด้วย
- การเป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุภาคเอกชนในประเทศไทยจากปริมาณโดยเฉลี่ยของพัสดุที่จัดส่งต่อวันคิดเป็นทั้งสิ้นเฉลี่ยกว่า 12 ล้านชิ้นต่อวันทำการ โดยลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยผู้ประกอบธุรกิจ และผู้บริโภคที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบธุรกิจ C2C, B2B และ B2C รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้นำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย
- มีการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่และรูปแบบการกระจายพัสดุจากศูนย์กลางแบบ Hub-and-Spoke และ Flexible Asset Management
- เป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านคุณภาพการให้บริการและความน่าเชื่อถือ เห็นได้จากอัตราการจัดส่งพัสดุตรงตามเวลาของบริษัทอยู่ในระดับสูงคิดเป็น 99% และมีอัตราส่งคืนพัสดุต่ำกว่า 1.5% และอัตราพัสดุชำรุดเสียหายต่ำ
- มีพันธมิตรทางธุรกิจที่โดดเด่นส่งผลให้มีการเติบโตด้านปริมาณและส่งเสริมแบรนด์ของบริษัทช่วยให้บริษัทขยายเครือข่ายการดำเนินงานครอบคลุมยิ่งขึ้น
- มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง การเติบโตที่ดีเยี่ยม การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพความสามารถในการกำหนดราคาและรายได้จากหลายช่องทาง
- มีคณะผู้บริหารที่มีแนวคิดแบบผู้ประกอบการและมีประสบการณ์สูงภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งโดยผู้บริหารระดับอาวุโสร่วมงานกับบริษัทมากกว่า 10 ปีทำให้บริษัทได้เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบผู้ประกอบการที่มีความเข้มแข็ง กระจายอำนาจการตัดสินใจไปสู่แต่ละพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับพื้นที่นั้นๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ธ.ค. 63)
Tags: IPO, KEX, วีณา เลิศนิมิตร, หุ้นไทย, อเล็กซ์ อึ้ง, เคอรี่ เอ็กซ์เพรส, ไทยพาณิชย์