“เจเอสเอสอาร์ กรุ๊ป” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 116 ล้านหุ้นเข้า mai ใช้เป็นทุนหมุนเวียน

บมจ.เจเอสเอสอาร์ กรุ๊ป (JSSR) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 116 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.89% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาท/หุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.โนมูระ พัฒนสิน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

JSSR ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ลงทุนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ

  • 1) กลุ่มธุรกิจหลัก (Core Business) – ธุรกิจจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องจักรหนัก และอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้งานแล้วผ่านช่องทางการประมูลและช่องทางทั่วไป รวมถึงประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ในการจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดผ่านช่องทางออนไลน์
  • 2) กลุ่มธุรกิจอื่น (Other Business) – ดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า รวมถึงบริการนำเข้า-ส่งออกสินค้าและบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง

โดยกลุ่มธุรกิจหลักดำเนินงานโดยบริษัทย่อย 3 บริษัท คือ บริษัท เจเอสเอสอาร์ อ๊อกชั่น จำกัด (JA), Green Corporation Co., Ltd. (GR) และบริษัท แรพบิซซ์ ไดเรคท์ จำกัด (RB) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอื่น คือ บริษัท เจ.เอส.เอส.อาร์. ทรานสปอร์ต จำกัด (JT) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกทั่วประเทศไทย โดยมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าประเภทเครื่องจักรหนักและอุปกรณ์ รวมถึงบริการนำเข้า-ส่งออกสินค้าและบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง

บริษัทมีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 466,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 466,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้เท่ากับหุ้นละ 1.00 บาท โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 350,000,000 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 116,000,000 หุ้น จะทำให้กลุ่มบริษัทมีทุนที่ออกและชำระแล้วเต็มมูลค่า

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 มีกลุ่มตระกูลรัตนธัญญาภรณ์ ถือหุ้น 331,932,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 94.84% หลังการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 71.23%

ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจหลัก คือ รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการ ประกอบไปด้วย (1) รายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการประมูล รายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางทั่วไป และรายได้จากการให้บริการ ซึ่งดำเนินการโดย JA และ GR และ (2) รายได้จากธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินการโดย RB ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทที่เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 62 และอีกส่วนคือรายได้จากธุรกิจอื่น ได้แก่ธุรกิจการขนส่งสินค้าและการบริการทางด้านกรมศุลกากร ดำเนินการโดย JT โดยมีรายได้กว่าครึ่งจากการให้บริการขนส่งเพื่อสนับสนุนแก่ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าของ JA

ในช่วงปี 60-62 บริษัทมีรายได้รวม 2,336.27 ล้านบาท, 2,272.67 ล้านบาท และ 1,649.54 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิ 40.31 ล้านบาท, 44.66 ล้านบาท และ 31.69 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 62 กำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.97 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.04% ตามรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการลดลง สะท้อนสภาวะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องหดตัว ราคาตลาดของเครื่องจักรลดลง รวมถึงสงครามกีดกันทางการค้าต่าง ๆ แต่บริษัทยังสามารถคงอัตรากำไรสุทธิไม่แตกต่างจากปี 61 มากนัก

ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 63 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 804.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.70 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 74.11%

ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1.144.42 ล้านบาท หนี้สินรวม 604.28 ล้านบาท และ ส่วนผู้ถือหุ้น 540.14 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้ ทุนสำรองตามที่กฎหมายกำหนด และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 63)

Tags: , , ,
Back to Top