นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์หลังเข้าสู่เขต Oversold แล้ว ท่ามกลางการรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก่อนกำหนดการลงทุนต่อไป เล็ง”ไบเดน”ชนะการเลือกตั้ง-หากเป็นจริงเป็นผลดีต่อ Emerging Market ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้ส่วนใหญ่บวกหลังปรับตัวลงไปมาก พร้อมให้ติดตาม PMI ภาคการผลิตทั่วโลก-การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,187-1,180 แนวต้าน 1,205 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ แม้ดัชนีฯจะปิดต่ำกว่าระดับ 1,200 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้เข้าสู่เขต Oversold ไปแล้ว ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก่อนที่จะกำหนดการลงทุนต่อไป ทั้งนี้ ตลาดฯต่างก็มองว่า นาย โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งหากเป็นจริงก็มองว่าเป็นผลดีต่อ Emerging Market แต่ก็ต้องตามดูว่าชนะแบบไหน ชนะด้วยคะแนนขาดลอยหรือไม่
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่บวก โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นเกาหลี หลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปมาก นอกจากนี้ให้ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา และติดตามการเลือกตั้งในสหรัฐ รวมถึงการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 4-5 พ.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,187-1,180 จุด ส่วนแนวต้าน 1,205 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,501.60 จุด ลดลง 157.51 จุด (-0.59%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,269.96 จุด ลดลง 40.15 จุด (-1.21%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,911.59 จุด ลดลง 274.00 จุด (-2.45%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.19 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 133.61 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 167.41 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 18.98 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 9.46 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.14 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.42 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 ต.ค.63) 1,194.95 จุด ลดลง 6.69 จุด (-0.56%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,466 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 ต.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 ต.ค.63) ปิดที่ 35.79 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 38 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 ต.ค.63) อยู่ที่ 2.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.19 ตลาดจับตาผลเลือกตั้งสหรัฐฯ-สถานการณ์โควิด ให้กรอบ 31.15-31.25
- 5 แบงก์ใหญ่ ส่งซิกพอร์ตลูกหนี้ยังเปราะบาง เอ็นพีแอลยังขาขึ้น เร่งเดินหน้าช่วยลูกหนี้เต็มสูบ “แบงก์กรุงเทพ” รับคุณภาพหนี้สินเชื่อด้อยลง เร่งช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มจนกว่าพ้นวิกฤติ “กรุงไทย” ชี้ พอร์ตเอสเอ็มอีอ่อนแอ ต้องจับตาใกล้ชิด ขณะที่ “กสิกรไทย” ย้ำให้ความสำคัญความสามารถชำระหนี้ มากกว่าเน้นเติบโตภายใต้เศรษฐกิจชะลอ “ไทยพาณิชย์” คาดมีลูกหนี้ต้องช่วยต่อราว 3 แสนล้านบาท จากที่เข้าโครงการช่วยเหลือ 6.3 แสนล้านบาท
- ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดผลสำรวจแนวโน้มสินเชื่อ โดยผลสำรวจสถาบันการเงิน และนอนแบงก์เกี่ยวกับมาตรฐานการให้สินเชื่อภาคธุรกิจในไตรมาส 4 ปีนี้ พบว่าแบงก์มีแนวโน้มเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งสถาบันการเงินมีแนวโน้มเพิ่ม margin สำหรับลูกค้ากลุ่มเสี่ยงและเพิ่มความเข้มงวดของเงื่อนไขประกอบสัญญาเงินกู้ ขณะที่มาตรฐานการให้สินเชื่อแก่ SMEs มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะกับลูกค้าใหม่และกลุ่มธุรกิจที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน
- “พาณิชย์” เผยสหรัฐฯตัดจีเอสพีสินค้าไทย 231 รายการ หลังไม่นำเข้าเนื้อสุกรที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง มีผล 30 ธ.ค.63 ยันไทยยังส่งออกสินค้าดังกล่าวได้ตามปกติเพียงแค่ต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่ม ย้ำมีผลกระทบจริงแค่ 147 สินค้า คิดเป็นภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่ม 19 ล้านเหรียญฯ ลั่นหาทางออก ช่วยเหลือผู้ส่งออกแล้ว
- นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน 2563 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 54.15 – 56.61 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.11 – 8.85 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดน้อยลงจากการขาดแคลนแรงงาน และยางแผ่นรมควัน ขาดตลาดเนื่องจากเกษตรกรหันไปขาย น้ำยางพาราสดกันมากขึ้น
หุ้นเด่นวันนี้
- CBG (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 148 บาท คาดกำไรปกติ Q3/63 แข็งแกร่ง +3% Q-Q, +24% Y-Y จากรายได้ในประเทศที่เติบโตและชดเชยตลาดต่างประเทศ ขณะที่ Gross Margin ขยายตัวขึ้นจากแรงหนุนของ C+ Lock ส่วนผลกระทบในฝั่งเมียนมาประเด็นการควบคุมด่านชายแดนจากโควิด-19 มองกระทบจำกัดและเป็นเพียงระยะสั้น คาดกำไรกำไรปี 2563-2564 +35% Y-Y และ +21% Y-Y ตามลำดับ
- INTUCH (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 74 บาท Top pick ของหุ้น Defensive รายได้และกำไรผันผวนต่ำ จ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ Dividend yield เฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% INTUCH จึงเป็นเป้าสำหรับพักเงินในภาวะที่ตลาดผันผวน
- STA (เคทีบี) เป้าเชิงกลยุทธ์ 38 บาท แนวโน้มผลกำไรของ STGT (STA ถือหุ้น 50.75%) มีการเติบโตสูงตามความต้องการถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นขณะที่ราคายางพารา (ยางแผ่น) ในตลาด Tocom พุ่งขึ้นไปถึง 316 เยน/กก. หรือกว่า 90 บาท/กก. ด้านราคายางพาราที่สูงขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการยางและถุงมือยาง ขณะที่จีน มีมาตรการสนับสนุนการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ทำให้ยอดสั่งซื้อยางเพิ่มขึ้น ราคายางยังมีแนวโน้มที่ดีในไตรมาส 3 และ 4
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (2 พ.ย. 63)
Tags: CBG, INTUCH, STA, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, ทิสโก้, หุ้นไทย, อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล