นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ปี 64 มีโอกาสแตะระดับ 1 แสนล้านบาท จากโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศเวียดนาม แห่งที่ 2 ในเวียดนาม กำลังการผลิต 84 ตารางเมตร/ปี
ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/63 พร้อมกับการเข้าควบรวมกิจการ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบสินค้าคงคลังรอบสุดท้าย โดยคาดว่าดีล SOVI จะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. ช่วยหนุนการเติบโตรายได้ในปี 64
ขณะเดียวกันความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในตลาดถือว่ามีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ที่ยังเห็นการเติบโตแม้ว่าจะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม จะเห็นได้จากการเติบโตของยอดขายบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ เติบโต 5% มาอยู่ที่ 6.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ Consumer Product นับเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมาก ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสขยายตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
ทั้งนี้ บริษัทมองถึงการขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษและโพลิเมอร์ในอาเซียนมากขึ้น ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของของการขยายธุรกิจและรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจแพ็คเกจจิ้งในอาเซียน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษและโพลิเมอร์ในอาเซียนอีก 2-3 ดีล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายนี้หรือปี 64 และในอนาคตสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสัดส่วนรายได้จากในประเทศ จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ในประเทศอยู่ที่ 52% และสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 48%
ด้านงบลงทุนในปี 64 บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 63 ที่ใช้ไป 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะในปี 64 คาดว่าจะมีการลงทุนมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งอยู่ระหว่างการทำแผนสำหรับปี 64 ซึ่งจะมีความชัดเจนออกมาในช่วงเดือนธ.ค.นี้ ขณะที่รายได้ในปี 63 คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 8.9 หมื่นล้านบาท
“ผลงานของเรายังเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่าเราเดินมาถูกทางสามารถเติบโตอย่างมีคุณภาพหรือ Growth with Quality และบริษัทจะมุ่งขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคนี้”
นายวิชาญ กล่าว
นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทยังมีการลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตในไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษและโพลิเมอร์อ่อนตัว ด้วยงบลงทุน 7.7 พันล้านบาท ซึ่งจะขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษเพิ่มอีก 620,000 ตัน/ปี และกำลังผลิตโพลิเมอร์ 53 ล้านตารางเมตร/ปี ซึ่งจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตในช่วงไตรมาส 2/64 และไตรมาส 3/64 ซึ่งคาดว่าโรงงานแห่งใหม่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มเข้ามาอีกราว 9 พันล้านบาทภายในปี 65 ซึ่งเป็นปีที่โรงงานทั้ง 3 แห่งเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์เต็มปี
สำหรับการดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้น SCGP เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้น SCGP ในสัดส่วน 3% นั้น มองว่าในอนาคตหากบริษัทเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ก็มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยจะเริ่มคำนวณในดัชนี MSCI ในวันที่ 10 พ.ย.นี้ ซึ่งการเข้าคำนวณในดัชนี MSCI จเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนได้ง่ายขึ้น หลังจากในวันนี้ SCGP เข้าคำนวณในดัชนี SET50 ในวันนี้ (28 ต.ค.)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 63)
Tags: SCGP, บรรจุภัณฑ์, วิชาญ จิตร์ภักดี, หุ้นไทย, เอสซีจี แพคเกจจิ้ง