นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ร่วงตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดภูมิภาค-ตลาดสหรัฐ-ตลาดในยุโรปต่างปรับลงถ้วนหน้า รับความกังวลไวรัสโควิด-19 ระบาดซ้ำหวั่นกระทบเศรษฐกิจอีกรอบ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ทันก่อนเลือกตั้ง นักลงทุนจึงเลือกลดความเสี่ยงก่อน พร้อมรอดูงบฯกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯที่จะทยอยออกมาสัปดาห์นี้
เช่นเดียวกับบ้านเราต้องติดตามงบฯที่จะทยอยประกาศในช่วงปัจจัยการเมืองก็ยังกดดัน แนะเล่นเทรดดิ้งรายตัว โดยเฉพาะหุ้นรับประโยชน์โควิด-สินเค้าเกษตร ให้แนวรับ 1,200-1,180 แนวต้าน 1,220 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะร่วงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างเคลื่อนไหวในแดนลบ ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดในยุโรปที่ต่างปรับตัวลง ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีที่บวกจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ออกมาดี เนื่องจากกังวลไวรัสโควิด-19 ระบาดซ้ำหากมีมาตรการควบคุมก็อาจกระทบเศรษฐกิจอีกรอบ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐก็ออกมาไม่ทันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้นักลงทุนเลือกลดความเสี่ยงก่อนผลการเลือกตั้งจะออกมา พร้อมกันนั้นก็ยังรอดูผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่จะทยอยออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย
หากผลการเลือกตั้งสหรัฐออกมานายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง แต่ก็มองว่าเอเชียน่าจะได้ประโยชน์ อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไปก่อน ในช่วงที่ปัจจัยการเมืองยังกดดัน แต่แนะเล่นเทรดดิ้งหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโควิดระบาดและพวกสินค้าเกษตร เป็นต้น
พร้อมให้แนวรับ 1,200-1,180 จุด ส่วนแนวต้าน 1,220 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,685.38 จุด ร่วงลง 650.19 จุด (-2.29%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,400.97 จุด ลดลง 64.42 จุด (-1.86%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,358.94 จุด ลดลง 189.34 จุด (-1.64%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.38 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 117.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเ ลดลง 78.81 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 41.26 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 15.25 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.98 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.5 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ต.ค.63) 1,207.97 จุด ลดลง 5.64 จุด (-0.46%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 390.89 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ต.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ต.ค.63) ปิดที่ 38.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 3.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ต.ค.63) อยู่ที่ 1.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.25/27 ตลาดจับตาการเมืองในประเทศ-ผลเลือกตั้งปธน.สหรัฐ
- สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยืนยัน 5 โครงสร้างพื้นฐานอีอีซีเดินหน้า ดันลงนามท่าเรือแหลมฉบัง ก.พ.64 ปัดฝุ่นเจรจาศูนย์ซ่อมอากาศยาน หวังเข็นเม็ดเงินลงทุนรัฐ-เอกชนครบ 6.5 แสนล้านบาท “กัลฟ์” เร่งอีเอชไอเอ มาบตาพุด คาดเริ่มถมทะเล เม.ย.ปีหน้า ร.ฟ.ท.จ่อส่งมอบพื้นที่ไฮสปีดช่วงแรก ม.ค. “อู่ตะเภา” เร่งทำแผนแม่บท มั่นใจปั้นขึ้นแท่น ฮับภูมิภาค
- “ชอร์ตเซล” เดือนต.ค.พุ่ง แตะกว่า 2 พันล้านต่อวัน เพิ่มขึ้น 185% หลังตลท. กลับมาใช้เกณฑ์ปกติ “เอเซีย พลัส” ชี้มีโอกาสพุ่งแตะ 4 พันล้านต่อวัน เหตุการเมืองในประเทศร้อนแรง-โควิดระบาดหนักในต่างประเทศ
- นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาอีอีซีโกว่า สถานการณ์การชุมนุมไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มองปัญหาการเมืองไทยเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่มีผลมากสุดขณะนี้ยังเป็นเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว นักลงทุนบางส่วนจึงยังคงเฝ้าติดตามใกล้ชิด ขณะที่รัฐบาลยังเดินหน้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ชักจูงการลงทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรมในอีอีซีอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง
- นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้แม้ภาพรวมจะได้รับผล กระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่สำหรับบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ได้รับผลกระทบไม่มากและตลาดยังไปได้ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบด้านการเงินจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และยังมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่จะเลือกซื้อโครงการทำเลดี มีความสะดวก และโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย และตอบสนองรสนิยมส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย
หุ้นเด่นวันนี้
- SAPPE (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 25 บาท คาดกำไร Q3/63 น่าประทับใจ +37% Q-Q, +12% Y-Y จากรายได้ในประเทศที่ฟื้นตัวดีมากและชดเชยต่างประเทศที่ชะลอตัว รวมถึง Margin ที่เติบโตขึ้นจาก Operating Leverage และภาษีสรรพสามิตที่ลดลง โดยคาดกำไรปี 63-64 ติดลบ -2% Y-Y และ เพิ่มขึ้น +14% Y-Y ตามลำดับ ราคาหุ้นยังซื้อขายที่ 64 PER เพียง 14 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มเครื่องดื่มที่สูงกว่า 20 เท่า และให้ Dividend Yield ระดับดี 4.7%
- EPG (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 5.5 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/64 (ก.ค.63- ก.ย.63) โตก้าวกระโดด qoq ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มขึ้นตามยอดผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจแพ็คเกจจิ้งโตตามธุรกิจ Food delivery
- BDMS (เคทีบี) เป้าเชิงกลยุทธ์ 20 บาท คาดกำไร Q3/63 ฟื้นตัวดีขึ้นจากผู้ป่วยในประเทศ 1,321 ล้านบาท (-54% YoY, +189% QoQ) ราคาปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควร ส่วนผู้ป่วยในประเทศเริ่มฟื้นตัวจาก Q2/63 และคาดว่า BDMS มีรายได้เสริม จากการเป็น alternative state quarantine จำนวน 250 ห้อง (ประมาณ 90 ล้านบาท ใน Q3) พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 63 ที่ 6.27 พันลบ.(-59% YoY) และขยับขึ้นเป็น 9.07 พันลบ. โต 45% ในปี 64
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 63)
Tags: BDMS, EPG, SAPPE, กรุงไทย ซีมิโก้, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย, หุ้นไทย