- ศูนย์วิจัยกสิกรฯ วิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายของไทยที่กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในการจัดการประมูล 5G วันที่ 16 ก.พ.นี้
- ผู้ประกอบการโทรคมนาคมเผชิญโจทย์รอบด้าน ทั้งประเด็นความพร้อมของตลาด เทคโนโลยี รวมถึงภาระต้นทุนต่างๆ
- 3 ปีแรก ผู้ให้บริการฯ ต้องวางแผนเลือกพื้นที่ลงทุนโครงข่ายและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ กำหนดราคาค่าบริการ 5G ที่ไม่สูงจนเกินไปและสร้างความแตกต่างจากบริการในยุค 4G โดยพัฒนาบริการ 5G ที่หลากหลาย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 63 เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายของไทยกำลังจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะจัดการประมูลคลื่นความถี่สำหรับบริการ 5G ในวันที่ 16 ก.พ.63 บนย่านคลื่นความถี่ 700 MHz, 1800 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz
และตั้งเป้าจะผลักดันให้เกิดการเปิดให้บริการได้ในบางพื้นที่ภายในกลางปีนี้ตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมมุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0 และเป็นการสร้างปัจจัยดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูงจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งอนาคตของไทย ภายใต้แนวนโยบายดังกล่าว ผู้ประกอบการโทรคมนาคมได้เตรียมเข้าร่วมประมูลและลงทุนโครงข่ายเพื่อเปิดให้บริการ 5G ในกลางปีนี้
แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงประเด็นความพร้อมของตลาดโทรคมนาคม จะพบว่าผู้ใช้บริการทั้งผู้บริโภคและลูกค้าองค์กรส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงไม่เข้าใจความแตกต่างในคุณสมบัติของเทคโนโลยี 5G เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี 4G นัก โดยเข้าใจเพียงว่า 5G มีคุณสมบัติเหนือกว่า 4G เพียงแค่มิติด้านความเร็ว ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับความเร็วของบริการ 4G ในปัจจุบันก็ยังคงพอเพียงสำหรับการประยุกต์ใช้งานบริการดิจิทัลที่มีอยู่ และสามารถตอบสนองความต้องการได้ดี
ทำให้ผู้ใช้บริการขาดแรงจูงใจและไม่เห็นความจำเป็นที่จะหันมาใช้บริการ 5G ที่มีแนวโน้มว่าค่าบริการจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับบริการเดิม
นอกจากนี้ เทคโนโลยี IoT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ต้องประยุกต์ใช้คุณสมบัติเด่นของเทคโนโลยี 5G ทั้งด้านความหน่วงและจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อที่สามารถรองรับได้จำนวนมาก และน่าจะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้บริการให้หันมาสนใจในบริการ 5G นั้น ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นสำหรับตลาดโลกรวมถึงประเทศไทย และมีกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างอยู่ไม่มากนัก โดยอาจใช้เวลาราว 4-5 ปีกว่าเทคโนโลยี IoTจะมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในไทย ทำให้เกิดแรงกดดันในการหันมาใช้บริการ 5G ของทั้งผู้บริโภคและลูกค้าองค์กร
ทั้งนี้ การมาของเทคโนโลยี IoT จะหนุนให้การใช้งานโครงข่าย 5G เต็มศักยภาพมากขึ้น เนื่องจากลำพังเพียงความต้องการเชื่อมต่อโครงข่าย 3G/4G จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอยู่เพียงประมาณ 78 ล้านเครื่อง อาจไม่เพียงพอกับศักยภาพการรองรับการเชื่อมต่อของโครงข่าย 5G ที่สูงกว่าโครงข่าย 3G/4G ถึงกว่า 1,000 เท่า
นอกเหนือจากนี้ ยังมีประเด็นความพร้อมด้านอุปกรณ์สื่อสาร 5G ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยผู้ผลิตได้เพิ่งเริ่มทยอยเปิดตัวอุปกรณ์สื่อสาร 5G โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนในตลาดโลก และอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงมีระดับราคาที่สูง
สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ยังคงไม่มีการเริ่มจำหน่ายอุปกรณ์ที่รองรับ 5G โดยคาดว่าจะเริ่มเข้ามาจำหน่ายราวกลางปีก่อนที่จะมีการเปิดให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการ
ภายใต้สถานการณ์ด้านตลาดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีดังกล่าว ในช่วง 3 ปีแรกของการเปิดให้บริการ 5G ผู้ประกอบการโทรคมนาคมน่าจะเผชิญแรงกดดันด้านปริมาณอุปสงค์โดยรวมในการใช้บริการ 5G ที่ไม่สูงนัก ดังนั้น การวางแผนธุรกิจอย่างรัดกุมจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญ
โดยองค์ประกอบแรก คือ การวางแผนเลือกพื้นที่การลงทุนโครงข่าย 5G ที่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าเชิงธุรกิจ โดยการลงทุนโครงข่ายในช่วงแรกควรจะกระจุกตัวตามพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่รวมถึงพื้นที่ EEC เช่น ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพที่ผู้ใช้บริการทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจมีกำลังซื้อและมีความต้องการใช้บริการสื่อสารข้อมูลในระดับสูง
นอกเหนือจากการกำหนดพื้นที่ลงทุนศักยภาพแล้ว การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพก็มีส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยตลาดองค์กรธุรกิจน่าจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันอุปสงค์การใช้งานบริการ 5G โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีความพร้อมก่อนน่าจะกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม และปิโตรเคมี
เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าที่ต้องการความแม่นยำและความเที่ยงตรงในคุณภาพสูง ประกอบกับมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติในอุตสาหกรรมเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับ IoT เช่น หุ่นยนต์ความแม่นยำสูง การตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยระบบเซ็นเซอร์ เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีเงินลงทุนอาจเป็นกลุ่มแรกที่เลือกลงทุนระบบการผลิตบนโครงข่าย 5G เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตของตน
ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดผู้บริโภค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาด 5G โดยรวมอาจจะไม่เติบโตนักในช่วงแรก โดยจะขยายตัวเฉพาะกลุ่มตลาดผู้บริโภคพรีเมียม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบและติดตามเทคโนโลยี และมีกำลังซื้อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่รองรับ 5G โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว
องค์ประกอบที่สองของแผนธุรกิจที่สำคัญ คือ การกำหนดราคาค่าบริการ 5G ที่ไม่สูงเกินไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดผู้ใช้งานบริการ 5G โดยการกำหนดราคาค่าบริการนั้น ก็มีส่วนสัมพันธ์อย่างยิ่งกับต้นทุนการลงทุนเทคโนโลยี 5G ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งมีต้นทุนหลักอยู่สองส่วน คือ ต้นทุนการประมูลคลื่นความถี่ และต้นทุนการลงทุนโครงข่าย 5G
สำหรับต้นทุนด้านคลื่นความถี่นั้น แม้ว่าจะมีการกำหนดราคาตั้งต้นของการประมูลคลื่น 5G ที่ต่ำกว่าเมื่อครั้งประมูลคลื่น 3G/4G แต่กระนั้นก็ดี ราคาตั้งต้นการประมูลคลื่น 5G ของไทยก็ยังคงสูงติดสามอันดับแรกของโลก เช่น การประมูลคลื่นความถี่ 2600 MHz ซึ่งเป็นคลื่นที่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมไทยให้ความสนใจมากที่สุด มีราคาเริ่มต้นที่ 1,862 ล้านบาท เป็นรองเพียงสิงคโปร์และอินเดียซึ่งมีราคาเริ่มต้นสูงกว่า 2,000 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่มีราคาต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นต้น ประกอบกับหากมีการแข่งขันด้านราคาในการประมูลคลื่นความถี่ก็จะทำให้ราคาประมูลสุดท้ายสูงขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี ในการประมูลครั้งนี้ ก็ได้มีการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่ผ่อนปรนมากกว่าการประมูลครั้งก่อน เช่น กำหนดให้ชำระเงินงวดที่หนึ่งในปีแรกเพียงร้อยละ 10 ของราคาชนะประมูล และยกเว้นการชำระเงินในปีที่ 2-4 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการลงทุนและทำตลาด ก่อนที่จะมาชำระอีกครั้งในปีที่ 5-10 ปีละร้อยละ 15 เป็นต้น ทำให้น่าจะบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนคลื่นต่อราคาค่าบริการ 5G ในช่วงแรกของการเปิดให้บริการได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับต้นทุนการลงทุนโครงข่าย 5G นั้น ผู้ประกอบการก็ยังคงต้องเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนการลงทุนโครงข่าย 5G ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าการลงทุนโครงข่าย 4G ราว 1.8 เท่า โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการลงทุนซึ่งอุปกรณ์โครงข่าย 5G ยังคงมีระดับราคาที่สูง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การลงทุนโครงข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งประเทศจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 450,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งลงทุนโครงข่าย 4G ซึ่งอยู่ที่ราว 255,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ แม้ว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะเลือกยุทธวิธีทยอยลงทุนโครงข่ายในพื้นที่ศักยภาพก่อนเพื่อกระจายภาระต้นทุนโครงข่าย แต่ภายใต้ข้อกำหนดเงื่อนไขการประมูลคลื่นที่กำหนดให้ผู้ชนะการประมูลต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 50% ของพื้นที่ EEC ภายใน 1 ปี และครอบคลุม 50% ของประชากรในพื้นที่สมาร์ทซิตี้ภายใน 4 ปี ทำให้ผู้ประกอบการจำต้องลงทุนโครงข่ายในช่วง 3-4 ปีแรกเป็นเม็ดเงินกว่า 60-70% ของต้นทุนโครงข่ายที่ต้องลงทุนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ภายใต้แรงกดดันด้านภาระต้นทุนดังกล่าว อาจส่งผลทำให้ราคาของแพ็กเกจบริการ 5G มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าระดับราคาบริการ 4G โดยเฉพาะในช่วงแรกของการลงทุนที่คาดว่ายังคงมีอุปสงค์การใช้งานในวงจำกัด
ทั้งนี้ แนวทางหนึ่งที่น่าจะลดผลกระทบจากต้นทุนการลงทุนโครงข่าย 5G คือ การสร้างกลไกเพื่อให้เกิดการลงทุนและใช้โครงข่าย 5G ร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งจะมีส่วนลดความซ้ำซ้อนในต้นทุนการติดตั้งโครงข่าย และช่วยย่นระยะเวลาการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมเช่นกัน
องค์ประกอบสุดท้ายที่มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ การเร่งพัฒนาบริการที่ประยุกต์ใช้ 5G โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เทคโนโลยี IoT ยังไม่แพร่หลาย เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากบริการเดิมในยุค 4G ที่เน้นเพียงมิติด้านความเร็วอย่างการชมภาพยนตร์และฟังเพลง เป็นต้น
โดยควรเน้นทั้งคุณสมบัติเด่นด้านความเร็ว และการตอบสนองที่ฉับไว (ความหน่วงต่ำ) เป็นสำคัญ เช่น โซลูชันเทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก และโซลูชันบริหารสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอาจจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์เพื่อแชร์ไอเดีย ทดลอง และลงทุนในแพลทฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ บน 5G รวมไปถึงการจับมือกับลูกค้าองค์กรธุรกิจต่างๆ เพื่อเข้าไปร่วมศึกษาและพัฒนาโซลูชันเชิงธุรกิจต่างๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.พ. 63)
Tags: 5G, EEC, คลื่นความถี่, ประมูลคลื่น 5G, โทรคมนาคม