นายกฯสั่งเดินหน้า 3 แนวทางเร่งจัดหาวัคซีนโควิด-ด้วยงบฯราว 1 พันลบ.

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เร่งรัดให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติแล้ว

โดยขณะนี้ได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ผ่านการดำเนินการ 3 แนวทาง ได้แก่

  1. การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองภายในประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 400 ล้านบาท)
  2. การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 600 ล้านบาท)
  3. การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ

โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองในประเทศไทย แนวทางแรกนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีวัคซีนป้องกันโควิด 19 ใช้ ในภาวะที่มีความต้องการใช้วัคซีนสูง ในขณะที่การผลิตในช่วงแรกอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนในประเทศไทยที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด และอยู่ระหว่างเตรียมเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วัคซีนชนิด DNA โดย บริษัท ไบโอเนท-เอเซีย จำกัด และ วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดโปรตีนจากพืช โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งผู้วิจัยได้เข้าหารือกับหน่วยงานด้านควบคุมกำกับคุณภาพวัคซีนของประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ดำเนินอยู่บนกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และอยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือหรือพัฒนาศักยภาพในด้านการขยายขนาดการผลิต เพื่อทำการผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในมนุษย์ ตามแผนที่วางไว้คือ ในไตรมาสแรกของปี 2564

2.การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ แนวทางนี้เป็นการเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด 19 จากผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 และวัคซีนมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทั้งในเอเชียและยุโรป เช่น บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ที่มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด โดยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาได้มีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ร่วมกับบริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่สำคัญ ดังนี้ คือ กระทรวงสาธารณสุข, บริษัทสยาม ไบโอไซเอนซ์ จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด และ บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด โดยขอบข่ายของหนังสือแสดงเจตจำนงครอบครอบคลุมถึงความร่วมมือ ในด้านการพัฒนาศักยภาพการผลิตวัคซีนของหน่วยงานภายในประเทศ โดยให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด 19 แห่งหนึ่งของบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด และมีการตกลงที่จะยอมรับความเสี่ยงในการผลิตร่วมกัน รวมทั้งการประสานกับหน่วยงานควบคุมกำกับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีนได้

ทั้งนี้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด คือ บริษัทผู้ผลิตยาชีววัตถุผ่านเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งเดียวของคนไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คิดค้น พัฒนา ผลิตวัตถุดิบยา ผลิตยา บรรจุยา และจัดจำหน่ายยาชีววัตถุ ตั้งแต่ก้าวแรกของการผลิตจนนำส่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบยาจากภายนอก ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2552 เพื่อสานต่อพระราชปณิธานใน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงริเริ่มเรื่องการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพของคนไทยไว้ ตามพระราชดำรัสที่เคยพระราชทานไว้ว่า “ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง”

แนวทางนี้มีการเจรจาเพื่อให้เกิดการลงนามความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อเตรียมการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโด๊ส (ร้อยละ 20 ของประชากร) ให้แก่ประชากรไทย

ขณะนี้ ทุกภาคส่วนได้เร่งดำเนินการเจรจาต่อรองในประเด็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2563

3.การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ แนวทางนี้เป็นการจองล่วงหน้าผ่าน COVAX Facility และการตกลงแบบทวิภาคี ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมใน COVAX facility เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 และได้มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับกรมควบคุมโรค กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีนในประเทศ เร่งประสานความร่วมมือ เพื่อให้ประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ได้

“รัฐบาลโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชากรไทยในทุกช่องทาง เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้โดยเร็วที่สุด”

นายอนุชา กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top