SCM วางเป้ายอดขาย 3-5 ปีโตเฉลี่ย 15% เพิ่มศักยภาพ-รุกออนไลน์-ขยายตปท.

นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ (SCM) ผู้ประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรง เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทเดินหน้าผลักดันธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง จากเป้าหมายช่วง 3-5 ปีนับตั้งแต่ปี 64 ยอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% หลังจากที่ปีนี้ยอดขายอาจจะลดลงหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

เบื้องต้นการเติบโตของยอดขายจะมาจากการเพิ่มศักยภาพและการขยายนักธุรกิจเครือข่าย พร้อมกับการรุกช่องทางขายออนไลน์มากขึ้น ตลอดจนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในเมียนมาและกัมพูชา เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน และจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้

“เราถือเป็น Top 3 ในอุตสาหกรรมที่เน้นการพัฒนาคน การสร้าง Team Work ที่ดี และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคน มีกำลังใจในการลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และเราไม่ขายฝัน มี product ที่คุณภาพดี ตอบโจทย์ความต้องการ ทำให้บริษัทได้รับความเชื่อมั่น มีความน่าเชื่อถือ มีนักธุรกิจเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจ ทำให้ยอดขายแตะ 1 พันล้านบาทได้ ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีตั้งแต่ก่อตั้งในปี 55”

นายนพกฤษฏิ์ กล่าว

นายนพกฤษฏิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีนักธุรกิจเครือข่ายกว่า 180,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยนำพาการเติบโตของบริษัท โดยยังคงเน้นการพัฒนาความสามารถและสร้างแรงบันดาลใจ จากการให้ความรู้ในงานอบรมต่าง ๆ ที่บริษัทจัดขึ้น เพราะบริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามาถ เพื่อยกระดับอาชีพและคุณภาพชีวิตให้กับคน พร้อมการพัฒนาภาวะการเป็นผู้นำที่ช่วยนำพาธุรกิจและเครือข่ายให้เติบโตมากขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อเข้ามาสนับสนุนด้านช่องทางการขาย การบริการ และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ซึ่งคาดว่าแอปพลิเคชันของ SCM จะเริ่มเปิดให้บริการช่วงเดือนธ.ค.นี้ และจะขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมผ่าน LINE OA ในระยะต่อไป เพื่อทำให้นักธุรกิจและสมาชิกสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น

นอกจากนี้บริษัทจะพัฒนาระบบ Data Science ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนงานในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าของบริษัท ทำให้สามารถนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น โดยบริษัทจะพัฒนาระบบเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 2 ปีนี้ ด้วยงบลงทุนเบื้องต้นกว่า 10 ล้านบาท

ด้านการพัฒนาสินค้าหลังจากที่ลงทุนโรงงานผลิตอาหารเสริมเป็นของตัวเอง และเปิดดำเนินการผลิตไปบางส่วนแล้วในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ก็คาดว่าจะสามารถผลิตได้ครบในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ด้วยกำลังการผลิตรวม 3.6 ล้านซอง/เดือน ซึ่งการมีโรงงานทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้เอง รวมถึงสามารถวิจัยและพัฒนาสินค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับช่วยลดต้นทุนการผลิตจากเดิมที่ต้องจ้างผลิต ก็จะส่งผลให้มาร์จิ้นสินค้าบริษัทดีขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทจะออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยช่วงปลายปีนี้จะออกสินค้าใหม่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาเส้นผมหลุดร่วงและทำให้ผมดำเงางาม เจาะกลุ่มลูกค้า Silver Age อายุ 55 ปีขึ้นไป ที่ยังคำนึงถึงบุคลิก รูปร่างหน้าผมที่ดี ช่วยเสริมความมั่นใจให้กลุ่ม Silver Age ที่ยังต้องการความมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม และในปี 64 ก็จะมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมานำเสนอต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มสินค้าของบริษัทที่จำหน่ายอยู่มีทั้งหมด 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหารเสริม เป็นกลุ่มสินค้าหลักมีสัดส่วนยอดขาย 60-70% รองลงมาคือ สินค้าของใช้ส่วนบุคคล(Personal Care) ที่เป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้าซื้อเป็นจำนวนมาก และสินค้าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงยังมีสินค้าของใช้ในบ้าน เครื่องสำอาง สินค้าเกี่ยวกับความงาม นวัตกรรมและแบรนด์อื่น ๆ ที่นำมาฝากขาย เป็นต้น

นายนพกฤษฏิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันการที่บริษัทหันมามุ่งเน้นการขายผ่านออนไลน์ ทำให้การขยายสาขาในประเทศจะพิจารณาตามความเหมาะสมจากปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมด 23 สาขา ขณะที่ยังมีตัวแทนขายในต่างประเทศทั้งหมด 6 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์นั้น บริษัทจะเน้นการรุกตลาดในเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 และกัมพูชา ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 และมีโอกาสก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ได้เพราะลูกค้าทั้งในเมียนมาและกัมพูชาต่างเชื่อมั่นในสินค้าของบริษัท และมีความนิยมสินค้าที่มาจากไทย

สำหรับภาพรวมของผลงานในปี 63 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ยอดขายของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากเป็นระยะเวลา 2 เดือนในช่วงเกิดการแพร่ระบาดช่วงแรกในประเทศไทย และหลังจากที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศลดลง และภาครัฐเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ ยอดขายของบริษัทก็เริ่มทยอยกลับมาฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ยังไม่น่าจะทำให้ยอดขายรวมทั้งปีนี้เป็นบวก

“หลังจากเข้าตลาดหุ้นแล้ว SCM พร้อมเดินหน้าลุยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในปี 64 เป็นต้นไป ที่เราจะขยายตลาดทั้งในประเทศ และใน AEC โดยเฉพาะในเมียนมาและกัมพูชา เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมาย และการมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองจะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของ SCM”

นายนพกฤษฏิ์ กล่าว

SCM เป็นธุรกิจเครือข่ายขายตรง (MLM) รายแรกที่เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยเข้าเทรดเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ประกอบธุรกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจเครือข่ายจัดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และสินค้าอุปโภคและบริโภค ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ,ธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา และธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ต.ค. 63)

Tags: , ,
Back to Top