นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนลงตามตลาดภูมิภาคที่ติดลบราว -0.3% ถึง -0.4% หลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐไม่แน่นอน-ยังต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมากขึ้นด้วย ส่วนบ้านเราก็เผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่อาจยืดเยื้อ พร้อมให้ติดตามการดีเบตครั้งสุดท้ายในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันนี้ และติดตามตัวเลขส่งออกของไทย-การค้าในเดือนก.ย.เบื้องต้น โดยให้แนวรับ 1,210-1,200 แนวต้าน 1,220-1,225 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนลบกันราว -0.3% ถึง -0.4% โดยตลาดบ้านเราคงจะเผชิญแรงกดดันจากทั้งในประเทศ และนอกประเทศ โดยในประเทศเป็นเรื่องสถานการณ์การเมืองที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ แม้นายกรัฐมนตรีพร้อมจะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯเร็วๆ นี้ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น แต่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกภายใน 3 วัน
ส่วนปัจจัยนอกประเทศในเรื่องความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังจากที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ และยังต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯมากขึ้น หลังจากที่มีกระแสข่าวว่า อิหร่าน และรัสเซียจะเข้ามาก้าวก่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไรก็ดีให้ติดตามการดีเบตครั้งสุดท้ายในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กับนายโจ ไบเดน คู่ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (22 ต.ค.) และติดตามผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ รวมถึงติดตามการรายงานของกระทรวงพาณิชย์ที่จะประกาศตัวเลขส่งออกของไทย และการค้าในเดือนก.ย.เบื้องต้น
พร้อมให้แนวรับ 1,210-1,200 จุด ส่วนแนวต้าน 1,220-1,225 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,210.82 จุด ลดลง 97.97 จุด (-0.35%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,435.56 จุด ลดลง 7.56 จุด (-0.22%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,484.69 จุด ลดลง 31.80 จุด (-0.28%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 9.2 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 113.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 15.25 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 22.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 58.11 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.86 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.55 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ต.ค.63) 1,216.48 จุด เพิ่มขึ้น 5.81 จุด (+0.48%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,121.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ต.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ต.ค.63) ปิดที่ 40.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.67 ดอลลาร์ หรือ 4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ต.ค.63) อยู่ที่ 1.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.23 ทรงตัวจากวานนี้ ยังกังวลการเมืองในประเทศ มองกรอบ 31.15-31.30
- นายกฯออกแถลงการณ์เตรียมยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในกทม. วอน”ม็อบราษฎร63″ จริงใจ ยอมถอยคนละก้าว ให้กลไกสภาร่วมกันหาทางออกประเทศ โปรดเกล้าฯเปิดสภาวิสามัญ 26 ต.ค.นี้ ด้านม็อบนำมวลชนเดินเท้าล้อมทำเนียบ พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออกภายใน 3 วัน ขณะที่กลุ่มปกป้องสถาบัน นัดแสดงพลังทั่วประเทศ
- รฟม.เปิดยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม 9 พ.ย.ตามกำหนด พร้อมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว “บีทีเอส” ลั่นพร้อมยื่นข้อเสนอชิงรถไฟฟ้าสายสีส้มทุกหลักเกณฑ์ประมูล
- ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์, กรุงเทพ, กสิกรไทย, กรุงไทย, ทีเอ็มบี, ทิสโก้, เกียรตินาคินภัทร และ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้แจ้งงบการเงินในไตรมาส 3 ปี 63 ต่อ ตลท. โดยพบว่ามีกำไรลดลง 23,183 ล้านบาท จาก 46,918 ล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 23,735 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 45,975.62 ล้านบาทจากปีก่อน 132,171.34 ล้านบาท ลดเหลือ 86,195.72 ล้านบาท เพราะโควิด-19 ต้องตั้งสำรองผลขาดทุนสูงและมีหนี้เสียเพิ่ม
- นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวประเทศไทยว่า ในช่วง 9 เดือนปี 63 (ม.ค.-ก.ย.) ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมเพียงแค่ 655,000 ล้านบาท ลดลงอย่างรุนแรงถึง 1.57 ล้านล้านบาท หรือลดลง 70% เป็นรายได้จากต่างชาติ ลดลง 1.1 ล้านล้านบาท ลดลง 76% และรายได้ไทยเที่ยวไทย ลดลง 4.7 แสนล้านบาท ลดลง 59% ซึ่งการปรับลดลงทั้งหมด เป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กินเวลายาวนานมาตั้งแต่ต้นปี
หุ้นเด่นวันนี้
- SCGP (บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ โดยมีราคาขาย IPO ที่ 35 บาท/หุ้น ด้านบล.กรุงศรี ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 42 บาท/หุ้น โดยบริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร โดยแบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Intergrated Packaging Chain) และ 2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ขณะที่มีรายได้หลักกว่า 80% มาจากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ที่มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการด้วยโซลูชันที่หลากหลายกว่า 120,000 รูปแบบ (SKUs)
- TU (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 17.6 บาท คาด Q3/63 มีกำไรสุทธิ 1.79 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 4%qoq และ 30%yoy แนวโน้ม Q4/63 โตต่อจากอานิสงส์ยุโรป lockdown รอบ 2 หนุนดีมานด์ทูน่ากระป๋องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 9 บาท เป็นหนึ่งใน Top Pick ของกลุ่มอสังหาฯ โดยคาดกำไร H2/63 เร่งตัวขึ้น +22% H-H ตามการโอนคอนโดนใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ และเปิดโครงการใหม่เชิงรุกเกือบ 6 เท่าตัวจาก H1/63 ส่วนราคาหุ้นปรับฐานลงอีกครั้ง แต่ทางเทคนิคยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ Valuation ยังถูก ซื้อขายที่ 2564PER เพียง 5.4 เท่าและคาดให้ Dividend Yield สูงถึง 8%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ต.ค. 63)
Tags: ORI, SCGP, TU, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, ทิสโก้, หุ้นไทย, อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล