การแสดงวิสัยทัศน์ หรือการดีเบตรอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ได้ปิดฉากลงแล้วในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย โดยบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และพูดแทรกกันไปมาเกือบตลอดเวลา จนทำให้นายคริส วอลเลส ผู้ดำเนินรายการ ต้องเตือนให้ทั้งสองคนอยู่ในความสงบและไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดสดซึ่งมีประชาชนทั่วโลกกำลังรับชมอยู่ นอกจากนี้ การแสดงความเห็นใดๆ บนเวทีดีเบต อาจมีผลทำให้คะแนนของผู้สมัครเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในชั่วข้ามคืน
เปิดฉากด้วยหัวข้อ “การเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกา”
นายวอลเลสเปิดฉากการดีเบตด้วยหัวข้อแรกคือ ศาลฎีกา และกรณีที่ปธน.ทรัมป์เสนอชื่อ เอมี โคนีย์ แบร์เรตต์ เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ แทนนางรูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ซึ่งเสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้
ในประเด็นดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ระบุว่า “เราชนะการเลือกตั้งในปี 2559 ดังนั้นเราจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกแบร์เรตต์ให้ดำรงตำแหน่งนี้”
ขณะที่นายไบเดนย้ำว่า เขาเชื่อว่า ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งในปีนี้ต่างหากที่ควรจะมีสิทธิเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ และที่ถูกต้องคือเราควรรอจนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้งปีนี้ นอกจากนี้ นายไบเดนยังกล่าวว่า การเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาก่อนที่จะทราบผลการเลือกตั้งปีนี้ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบประกันสุขภาพของสหรัฐในอนาคต
ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้โต้ตอบนายไบเดนในทันทีว่า เขามีสิทธิอันชอบธรรมในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่
ว่าด้วยนโยบายระบบประกันสุขภาพ
ต่อมานายวอลเลสตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบประกันสุขภาพ ซึ่งปธน.ทรัมป์ไม่สามารถตอบได้ว่า เขาได้ดำเนินการตามแผนประกันสุขภาพอย่างครอบคลุมหรือไม่ และนายไบเดนก็เลี่ยงที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาสนับสนุนแผนประกันสุขภาพแบบครบวงจร
ในประเด็นระบบสุขภาพนั้น ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวหานายไบเดนว่าต้องการที่จะเปลี่ยน กฎหมายประกันสุขภาพ “Affordable Care Act” หรือ “โอบามาแคร์” ให้กลายเป็นระบบสังคมนิยม และทำเพื่อจะตอบแทนบุญคุณของบรรดานักการเมืองฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนเขา
ขณะที่นายไบเดนตอบโต้ว่า “ความจริงก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังพูดอยู่ตอนนี้คือ การโกหก ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะฟังคำโกหกจากเขา ทุกคนก็รู้ดีว่า เขาโกหก”
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามปธน.ทรัมป์ว่า เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ได้จัดตั้งระบบประกันสุขภาพขึ้นมาแทนที่ Affordable Care Act ซึ่งปธน.ทรัมป์หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ แต่กลับไปพูดถึงการที่เขาลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงคำสั่งที่จะกำหนดให้ Medicare ซึ่งเป็นโครงการรับประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐจัดซื้อยาในราคาเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ จ่าย ซึ่งคำสั่งนี้อาจจะไม่มีการบังคับใช้ หากการเจรจากับบริษัทยาประสบผลสำเร็จ
ถามถึงเรื่อง “ภาษี”
จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า ปธน.ทรัมป์จ่ายภาษีเพียง 750 ดอลลาร์ในช่วงปี 2559-2560 ซึ่งกรณีนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า เขาจ่ายภาษีเป็นเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจด้วยนั้น การหาทางจ่ายภาษีให้น้อยลงก็ถือเป็นสิทธิที่เขาจะทำได้
ทางด้านนายไบเดนกล่าวหาปธน.ทรัมป์ว่าเอาเปรียบด้วยการใช้กฎเกณฑ์ด้านภาษี (tax code) ซึ่งทำให้ปธน.ทรัมป์จ่ายภาษีน้อยกว่าบรรดาครูอาจารย์ในโรงเรียน ขณะที่ปธน.ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการถามนายไบเดนว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำอะไรกับกฎเกณฑ์ด้านภาษี ล่ะ เมื่อตอนที่คุณเป็นวุฒิสมาชิกนานถึง 25 ปี ซึ่งทำให้นายไบเดนไม่พอใจอย่างมาก และพูดว่า “คุณเป็นประธานาธิบดีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา”
การรับมือ “โควิด-19”
ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้ขอให้ตัวแทนจากทั้งสองพรรคแสดงความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ประชาชนต้องการให้ธุรกิจของพวกเขากลับมาเปิดทำการอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการผลักดันให้สหรัฐกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ขณะที่นายไบเดนโต้กลับทันทีว่า “ประชาชนต้องการความปลอดภัยต่างหาก”
จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า การที่ปธน.ทรัมป์เคยกับสื่อมวลชนไว้ว่าเขาไม่ฟังคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์นั้น ทำให้นายไบเดนมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือไม่ ซึ่งในขณะที่นายไบเดนกำลังจะตอบคำถามนี้ ปธน.ทรัมป์ก็ได้พูดแทรกขึ้นมาว่า ตนได้พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ด้านการป้องกันโรค และจะมีวัคซีนออกมาในเร็วๆ นี้
ซึ่งในจังหวะนี้ นายไบเดนได้หันไปมองกล้องโทรทัศน์และพูดว่า “พวกคุณเชื่อที่เขากำลังพูดไหม ทั้งหมดที่เขากำลังพูดคือคำโกหกทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น และเขาไม่รู้ว่าอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มันร้ายแรงมากแค่ไหน”
“ประชาชนล้มตายจำนวนมาก และจะต้องให้คนล้มตายลงอีกมากเท่าไหร่เขาถึงจะฉลาดขึ้นและดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น” นายไบเดนกล่าว ซึ่งทำให้ปธน.ทรัมป์โกรธอย่างเห็นได้ชัด และพูดว่า “นี่คุณกล้าใช้คำว่า ‘ฉลาด’ เลยหรือ คุณจบการศึกษามาด้วยคะแนนต่ำสุดของชั้นเรียน ดังนั้น อย่าใช้คำว่าฉลาดกับผม เพราะคุณไม่ใช่คนฉลาดเลย โจ”
แสดงความเห็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ
กระทั่งเมื่อผู้ดำเนินรายการได้ขอให้ตัวแทนจากทั้งสองพรรคแสดงความเห็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ และความรุนแรงในเมืองต่างๆ ของสหรัฐ ซึ่งในประเด็นนี้ นายไบเดนกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติที่ต้องการเห็นการแบ่งแยกกันภายในชาติ มากกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เขาแค่ต้องการให้คนในชาติแตกแยกกัน แทนที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือประธานาธิบดีที่ใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อสร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกเรื่องเชื้อชาติ” นายไบเดนกล่าว
ขณะที่ปธน.ทรัมป์ตอบโต้นายไบเดนด้วยการอ้างถึงกฎหมายอาชญากรรมปี 2537 และจากนั้นได้เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย
“คุณไม่มีสิทธิ์พูดคำว่า ‘การบังคับใช้กฎหมาย’ เพราะหากคุณพูดคำนี้ คุณจะสูญเสียคะแนนจากกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง” ปธน.ทรัมป์กล่าว
จากนั้นผู้ดำเนินรายการได้ถามปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับการที่คณะบริหารของเขาได้ตัดสินใจยุติโครงการฝึกอบรมเพื่อลดปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ และแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่คนผิวขาวได้สิทธิพิเศษ ซึ่งในประเด็นนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า “เราใช้จ่ายเงินจำนวนหลายแสนดอลลาร์เพื่อสอนในเรื่องที่ไร้สาระ นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี” จากนั้นนายไบเดนก็ได้พูดแทรกขึ้นมาในทันทีว่า “ก็เขาเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ”
เลือกตั้งทางไปรษณีย์
เมื่อผู้ดำเนินรายการขอให้ปธน.ทรัมป์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ปธน.ทรัมป์กล่าวย้ำว่า การลงคะแนนเสียงด้วยวิธีด้งกล่าวจะไปสู่การฉ้อโกงเป็นวงกว้าง และปฏิเสธที่จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้ง
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่อาจยอมรับผลการเลือกตั้งที่มาจากวิธีการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับเอกสารดังกล่าวและทำการนับคะแนนหลังวันเลือกตั้ง
“นี่จะเป็นการทุจริตครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ปธน.ทรัมป์กล่าว และยังอ้างว่า การลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์อาจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาล่าช้าเป็นเวลาหลายเดือน
ทางด้านนายไบเดนกล่าวว่า “ทรัมป์อ้างทุกอย่างเพียงเพื่อจะไม่ให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการลงคะแนนเสียง เขาพยายามทำให้ประชาชนกลัวด้วยการป้อนความคิดว่า การลงคะแนนทางไปรษณีย์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ในขณะปธน.ทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น นายไบเดนได้ใช้โอกาสนี้พูดขึ้นว่า “หากผมชนะ ผมจะยอมรับ และหากผมแพ้ ผมก็จะยอมรับ” นอกจากนี้ นายไบเดนยังสนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ หรือการหย่อนบัตรที่คูหาเลือกตั้งก็ตาม
นอกจากนี้ นายไบเดนยังตอบโต้กรณีที่ปธน.ทรัมป์กังวลเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ว่า “เขาแค่กลัวเรื่องผลการนับคะแนน”
ในช่วงท้ายของการดีเบต ผู้ดำเนินรายการได้ถามตัวแทนของทั้งสองพรรคว่า จะให้คำมั่นสัญญาได้ไหมว่าจะทำให้บรรดาผู้สนับสนุนของตนเองอยู่ในความสงบ และให้คำมั่นสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ประกาศชัยชนะก่อนที่การนับคะแนนเลือกตั้งจะเสร็จสิ้น ซึ่งในเรื่องนี้ นายไบเดนกล่าวว่า เขาให้สัญญาว่าจะทำเช่นนั้น แต่ปธน.ทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้คำมั่นสัญญา
“ผมทำได้แค่การเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนของผมไปที่คูหาเลือกตั้ง และเฝ้าระวังการนับคะแนน” ปธน.ทรัมป์กล่าว พร้อมทั้งยัง ได้ย้ำอีกว่า การลงคะแนนทางไปรษณีย์ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
ทั้งนี้ การดีเบตรอบแรกได้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสมรภูมิ หรือ “Battle Ground States” ที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่อสู้กันอย่างสูสีที่สุด
หลังจบการดีเบตรอบแรกในวันนี้แล้ว ปธน.ทรัมป์และนายไบเดนจะพบกันอีกในการดีเบตรอบที่ 2 ในวันที่ 15 ต.ค. จากนั้นในวันที่ 22 ต.ค. ทั้งคู่จะเผชิญหน้ากันในศึกดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย เพื่อให้ชาวอเมริกันได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 63)
Tags: ดีเบต, เลือกตั้งสหรัฐ, โจ ไบเดน, โดนัลด์ ทรัมป์