นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า จากการรวบรวมผลสำรวจความนิยมผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 นี้ โดยผลสำรวจความนิยมล่าสุดชี้ว่านายไบเดน มีคะแนนนำนายโดนัลด์ ทรัมป์ ค่อนข้างห่างที่ 7 จุด นอกจากนั้น ผลสำรวจความไว้วางใจ (Approval ratings) ของนายทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดียังต่ำมากที่ 43 จุด ซึ่งนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบประธานาธิบดีคนอื่นๆ ในอดีต
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้กระบวนการที่เรียกว่า Electoral College หรือ คณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Voter) ของรัฐต่างๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง แต่ละมลรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากันขึ้นกับจำนวนประชากรของรัฐนั้น
เมื่อพิจารณาผลสำรวจความนิยมเป็นรายรัฐจะพบว่านายไบเดนมีโอกาสชนะการเลือกตั้งค่อนข้างสูง โดยหากรวมคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งในรัฐที่นายไบเดนมีคะแนนนำนายทรัมป์ตั้งแต่ 5-10% ขึ้นไป พบว่านายไบเดนได้เสียงรวมกันถึง 264 เสียง ขาดอีกเพียง 6 เสียง ก็จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่านายไบเดนต้องการชนะอีกแค่เพียงรัฐเดียว ก็จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปได้สำเร็จ โดยในรัฐที่โพลยังสูสี คือ มีคะแนนห่างจากนายทรัมป์ไม่เกิน 5% มีทั้งหมด 7 รัฐ โดยนายไบเดนมีคะแนนนำอยู่ถึง 5 รัฐ
นายคมศร กล่าวว่า ชัยชนะของนายไบเดนน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก เนื่องจากนายไบเดนได้เสนอให้ใช้มาตรการทางการคลังขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการสุขภาพ และการลงทุนพัฒนาด้านพลังงานสะอาด (Clean energy) มูลค่ารวมสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจาก COVID-19 ในขณะเดียวกัน นโยบายด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีท่าทีประนีประนอมกว่านายทรัมป์ น่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของการค้าโลกได้ ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ซึ่งรวมถึงประเทศไทยก็น่าจะตอบรับในเชิงบวก ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่บรรเทาลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจตอบรับในเชิงลบ เพราะนโยบายภาษีของนายไบเดนที่จะกดดันผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ โดยนายไบเดนเสนอให้ขึ้นภาษีหลายประเภทเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาษีนิติบุคคล ขึ้นเป็น 28% จากปัจจุบันที่ 21% และภาษีจากการลงทุน (Capital gains tax) โดยจะเก็บภาษีบนกำไรจากการลงทุนสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตราเดียวกับภาษีเงินได้ส่วนบุคคล (ที่ 39.6% จากปัจจุบันที่ไม่เกิน 20%) นอกจากนี้ นายไบเดน ยังสนับสนุนให้เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการผูกขาด (Antitrust) โดยหนึ่งในนั้นคือ การเสนอให้กำหนดภาษีขั้นต่ำกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Amazon เป็นต้น
ทั้งนี้ หากนายไบเดนชนะการเลือกตั้ง ประเมินว่า หนี้ภาครัฐของสหรัฐฯจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามปริมาณการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง ซึ่งจำเป็นจะต้องจูงใจด้วยอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็น่าจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพราะถูกกดดันจากแนวโน้มหนี้ภาครัฐที่เพิ่มสูง
ขณะที่ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ (EM) มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ด้านราคาน้ำมันอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายสนับสนุนให้ใช้พลังงานทางเลือก โดยนายไบเดนตั้งเป้าให้สหรัฐฯ ใช้พลังงานสะอาด (Clean energy) 100% ภายในปี 2593 ส่วนปัจจัยบวกจากนโยบายเสนอห้ามขุดเจาะบนที่ดินและน่านน้ำของรัฐบาลกลางนั้น คาดว่าจะเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้น เนื่องจากในปีนี้ผู้ผลิตเร่งขอ และได้รับใบอนุญาตขุดเจาะไปมากแล้ว
ทั้งนี้ หากนายทรัมป์พลิกล็อคชนะการเลือกตั้ง ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะกลับมาแข็งค่า ในขณะที่ค่าเงินหยวนและเงินสกุลเอเชียอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นเกิดใหม่อาจถูกเทขายจากความเสี่ยงสงครามการค้าที่อาจกลับมาตึงเครียดขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.ย. 63)
Tags: TISCO ESU, คมศร ประกอบผล, ทิสโก้, พรรคเดโมแครต, ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้, สงครามการค้า, เลือกตั้งสหรัฐ, โจ ไบเดน