นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การตรวจเยี่ยมงานบมจ.ปตท. (PTT) วันนี้ ได้มอบหมายให้ปตท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและกำลังสำคัญของประเทศ ช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนในไทยในโครงการต่าง ๆ ของปตท.ที่มีอยู่แล้วและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยเฉพาะในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นฐานการผลิตของกลุ่มปตท. คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มาก โดยตามแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.ในช่วง 5 ปี (ปี 63-67) จะใช้เงินลงทุนราว 9 แสนล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในปีนี้ราว 2 แสนล้านบาท
ประกอบกับปัจจุบันมีนักลงทุนหลายรายที่สนใจเพร้อมจะพิจารณาประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหนึ่ง หลังจากที่นโยบายของผู้ประกอบการระดับโลกหลายรายได้ปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจจากเดิมที่มีฐานการผลิตเดียวมาเป็นหลาย ๆ ฐานการผลิต ซึ่งไทยก็จะมีความพร้อมเรื่องนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับอยู่แล้วก็เชื่อว่าจะเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน
“กลุ่มปตท.ยังเป็นกำลังสำคัญของไทยในการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ในระหว่างโควิดและหลังโควิด ธุรกิจใหม่ ๆ ของกลุ่มปตท.ก็มีอยู่แล้ว และเชื่อว่านักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในไทยก็น่าจะเล็งเห็นถึงความพร้อมของปตท.ที่จะมาเชิญชวนเป็นพันธมิตร่วมกันได้ ท่านผู้ว่าก็เห็นด้วยที่จะให้ปตท.เริ่มปฏิบัติการเชิงรุกอันที่จะแสวงหาพันธมิตรที่จะมาลงทุนร่วมกับปตท.ในธุรกิจเป้าหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปตท.ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและอนาคต”
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ปตท.ยังให้ความร่วมมือในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องของการจ้างงาน ซึ่งกลุ่มปตท.จะเข้าร่วมงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ในระหว่างวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ โดยกลุ่มปตท.จะมีตำแหน่งรองรับแรงงานทั้งใหม่และเก่านับหมื่นราย และเมื่อรับเข้ามาก็จะช่วยอบรมและนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้ประกอบเพื่อให้ความรู้กับแรงงานดังกล่าวให้เข้าไปช่วยส่งเสริมในส่วนของสมาร์ทฟาร์มมิ่ง หรือการเกษตรอื่น ๆ รวมไปถึงการช่วยจัดทำด้านเอกสารเพื่อนำเสนอโครงการขอเม็ดเงินสนับสนุนทั้งจากในส่วนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งก็จะเป็นการขยายองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการต่อยอดและยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้รัฐบาลยังเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ครอบคลุมทุกส่วนซึ่งจะออกมาในช่วงเดือนต.ค.นี้ รวมถึงด้านพลังงานในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนด้วย อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังต้องรอเรื่อง 4 แผนพลังงานหลักของประเทศผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน
สำหรับแผนพลังงานทั้ง 4 แผน ประกอบด้วย ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) ,ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกพ.ศ. 2561-2580 (AEDP 2018) ,ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561-2580 (EEP 2018) และร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561-2580 (Gas Plan 2018)
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปทบทวนอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และทบทวนค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อเพื่อให้ต้นทุนก๊าซฯอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั้น ไม่ได้สั่งการว่าต้องปรับขึ้นหรือปรับลงแต่อย่างใด แต่เป็นการพิจารณาตามหน้าที่ของกกพ.ที่จะพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส ที่ต้องทบทวนเรื่อย ๆ ให้สอดรับกับสถานการณ์
ส่วนนโยบายการขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้น เบื้องต้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง รวมถึงกระทรวงพลังงานด้วย โดยในส่วนความเห็นของกระทรวงพลังงานนั้นยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนว่าเป้าหมายการจะมีรถอีวีคิดเป็นสัดส่วน 25% ของรถยนต์ทั้งหมดในประเทศในช่วงปี 80 นั้น เหมาะสมที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของรถอีวีได้หรือไม่ หากคำตอบคือใช่ก็จะผลักดันให้เกิดขึ้นต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 63)
Tags: EEC, PTT, กกพ., กระทรวงพลังงาน, ก๊าซธรรมชาติ, คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน, ปตท., รถยนต์ไฟฟ้า, สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, โรงไฟฟ้าชุมชน