นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการระดับชาติแก้ปัญหาไวรัสโคโรนา และ แก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเองเดินทางไปรับคนไทยที่นครอู่ฮั่น พร้อมกับทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่รวม 16 คน
ทั้งนี้ ตนเองจะสวมชุดป้องกันควบคุมโรค ซึ่งการสวมใส่ชุดดังกล่าวจะทำให้ไม่ต้องถูกกักตัวเฝ้าระวังเชื้อไวรัสเป็นเวลา 14 วัน
พร้อมยืนยันว่าจะดูแลคนไทยจากเมืองอู่ฮั่นเดินทางกลับประเทศให้ดีที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาบินไป-กลับราว 8 ชั่วโมง เพราะเดินทางไปใช้เวลา 3 ชั่วโมงและกระบวนการขึ้นเครื่องของคนไทยจากอู่ฮั่นน่าจะใช้เวลา 5 ชั่วโมง จึงคาดว่าถึงไทยในช่วงดึกของวันพรุ่งนี้
โดยขณะนี้มีผู้ที่ลงทะเบียนขอเดินทางกลับ 144 คน จากที่มีอยู่ราว 160 คน ซึ่งผู้ที่ไม่ได้เดินทางกลับในรอบนี้อาจมีการเก็บตกในภายหลัง หากจำเป็นสามารถบินกลับไปรับได้อีก
อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะนำคนไทยกลับมาลงที่สนามบินและกักตัวอยู่ที่ใด เหตุผลเพราะเป็นการกักกันโรค และไม่ต้องการให้คนตื่นตระหนก รวมถึงผู้ที่เดินทางกลับมาไม่ใช่คนป่วย แต่ต้องทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และขอให้ประชาชนมั่นใจ
“การดูแลและการนำคนไทยกลับมาทุกอย่างจะเป็นไปตามมาตรฐานสากล และต้องการให้ผู้โดยสารทุกคนพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะเขาอยู่ที่โน่นเกือบเดือน”
นายอนุทิน ยังเปิดเผยวา นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ และไม่กังวลกับทีมที่ไปรับตัวคนไทยจากอู่ฮั่น เพราะมั่นใจในมาตรฐานทางทีมแพทย์ของไทย และก่อนเดินทางมีการฝึกซ้อมและสาธิตขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างดี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การแก้ปัญหาไวรัสโคโรนา และ แก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ยังไม่ถึงขั้นตอนที่ต้องใช้อำนาจรัฐมนตรีเต็มรูปแบบ โดยในเรื่องของไวรัสโคโรนา ยังอยู่ในระดับป้องกันการแพร่กระจาย รวมถึงการเตรียมมาตรการในการรับกลับคนไทยที่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งไทยสามารถตั้งรับได้เป็นอย่างดี จนได้รับคำชมเชย
ทั้งนี้ ทูตบางประเทศที่มาเข้าพบ อยากใช้ประสบการณ์ในการป้องกันโรคอุบัติใหม่ของไทยเป็นต้นแบบ เพราะไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศของโลกสามารถรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา และย้ำว่าสิ่งสำคัญ คือ ประชาชนต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดีที่สุด
ส่วนรัฐบาลจะดูแลขั้นพื้นฐานในพื้นที่สาธารณะ รวมไปถึงการคัดกรองในสนามบิน ตามแนวชายแดน โดยอาศัยความร่วมมือ พลเรือน ตำรวจ ทหาร อย่างเข้มข้นโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้มีการติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งได้ขอความร่วมมือรณรงค์ สถานที่ท่องเที่ยว ให้มีการรณรงค์ใส่หน้ากากอนามัย
พร้อมย้ำว่าหากประชาชนพบตัวเองป่วยก็ให้รีบไปหาหมอ เฝ้าดูอาการโรคนี้ ที่มีระยะฟักตัว 14 วัน รวมไปถึงกรณีที่จะไปรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น ก็ต้องอยู่ในระยะกักตัว 14 วันเช่นเดียวกัน แม้ว่าก่อนจะรับกลับมาต้องผ่านการคัดกรองจากทางการจีน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขอให้มั่นใจกับมาตรการของไทยในการดูแลและรับมือสถานการณ์ดังกล่าว โดยหลังเหตุการณ์นี้ยุติแล้วก็จะมีการประชุมสรุปผลการทำงานอีกครั้ง เพราะไทยถือเป็นผู้นำการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ และต้องเข้มงวดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสถานเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 24ชั่วโมง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นก็ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้นต้องเตรียมไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือโรคตื่นตระหนก โดยขอเตือนการนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง ควรให้เครดิตชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานเพื่อมีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งหากตื่นตระหนกมาไปจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และจะยิ่งบานปลาย ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยปิดปังข้อมูล และไม่พบผู้เสียชีวิตในประเทศไทย เพราะสามารถควบคุมได้ รักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ติดเชื้อหายเป็นปกติได้
“ขออย่าไปสร้างความตื่นตระหนกทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา การติดตามสถานการณ์ ขอให้รับฟังขอมูลจากการแถลงข่าวของคณะกรรมการเท่านั้น พร้อมยืนยันอีกว่า การร้องเรียนเรื่องหน้ากากอนามัยแพง จากการตรวจสอบทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีรายงานไม่แพงจนเกินไป ส่วนที่รัฐบาลจะแจกจ่ายให้ประชาชนก็พร้อม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมเปิดเผยว่าทางรัฐบาลได้ดำเนินการประสานความช่วยเหลือไปยังทางการจีน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนทั้งคนไทย และคนจีน ซึ่งได้ดำเนินการช่วยเหลือผ่านการดำเนินการต่างประเทศไปแล้ว
ส่วนผลการแก้ปัญหาค่าฝุ่นละออง PM 2.5 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นข้อมูล และข้อมูลที่ได้มาก็นำมาแก้ไข แต่ยอมรับว่าการแก้ปัญหาบางอย่างต้องใช้เวลาระยะยาว เช่น แผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าแทนการใช้รถบนถนน การยกเลิกใช้รถเก่า เป็นต้น ซึ่งปัญหาฝุ่นมาจากการก่อสร้างและการจราจร จึงได้สั่งการแก้ปัญหาไปแล้วว่าต้องเข้มงวดขึ้น แต่ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ทั้งนี้การแก้ปัญหาต้องใช้เวลา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่ใช่แก้ปัญหาแค่เรื่องไวรัสและค่าฝุ่น PM2.5 เท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องดู โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง Fake News และ Hate Speech ซึ่งได้สั่งการเจ้าหน้าที่สืบหาต้นตอมาดำเนินคดีให้ได้ แม้จะเป็นปัญหาข้ามชาติ แต่ก็ต้องตรวจสอบให้ได้ เพราะฉะนั้นขอเตือนโซเซียลต่างๆ อย่าทำผิดกฎหมาย ทุกกรณี
และวันนี้ยังได้ย้ำเตือนไปยัง ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ทุกกระทรวง ทุกรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบทุกเรื่องในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ให้ได้รับผลสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วที่สุด ต่อไปนี้หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ ก็จะพิจารณาความเหมาะสมในการทำงานของทุกคน เพราะรัฐบาลทำงานไม่โทษประชาชน แต่อยากให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ร่วมมือกันแก้ปัญหา รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่ทุกคนต้องรู้จักป้องกันตนเอง ทั้งปัญหาไฟป่า การเผา และอย่าสร้างข้อมูลที่ขัดแย้งกันไปมา
“ฝากด้วยว่าจะเผาอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่าเผาบ้านเมืองของท่าน ด้วยการใช้ fake news…ก็ขอร้องบรรดานักพูด นักเกรียน มันเท่ห์ตรงไหนผมไม่เข้าใจ ที่คอยเขียนคำพูดสร้างความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิด มันเท่ห์ตรงไหนอยากจะรู้นัก เดี่ยวดำเนินคดีอย่าโวยวายแล้วกัน ซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ผมไม่ได้เป็นการใช้อำนาจเผด็จการอะไรของผมเลย เข้าใจมั้ย เหนื่อยนะแต่ไม่ลาออก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขณะที่นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้แนะนำเรื่องอุปกรณ์ให้กับคณะที่ร่วมเดินทางไปรับคนไทย โดย รมว.สาธารณสุข ได้ทดลองใส่ชุดป้องกันและวัดขนาดหน้ากากอนามัย N95 ที่ปรับขนาดเข้ากับรูปหน้า เพราะหน้ากากต้องแน่น ไม่ให้อากาศผ่านโดยรอบได้ หากรั่วจะเกิดความเสี่ยง ส่วนชุดอุปกรณ์อื่นๆได้จัดเตรียมไว้อย่างเต็มที่ เป็นชุดที่ได้มาตรฐานโอกาสที่จะรับเชื้อมาจากต่างประเทศน้อยมาก
“ทุกท่านที่ไปด้วยกันได้ทดสอบใส่ชุดกันตั้งแต่เช้า และมั่นใจทุกคนที่จะเดินทางไปไม่มีความเสี่ยงและทุกคนที่เดินทางกลับมาก็ไม่มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำว่าไม่เพียงแค่ นายอนุทิน ที่ไม่ต้องถูกกักตัว แต่เจ้าหน้าที่ที่สวมชุดป้องกันเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย ชุดหน้ากาก N95 รองเท้าบูท ถุงมือ2 ชั้น จะไม่ถูกกักตัวทั้งหมด เพราะถือเป็นคนปกติ แต่ต้องทำตามข้อกำหนดและข้อตกลงต่างๆ ถ้าทำตามเงื่อนไขทุกคนจะถือเป็นคนปกติและกลับไปดูแลอาการตัวเองที่บ้าน” นายแพทย์อภิชาติ กล่าว
นายแพทย์อภิชาต ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจและได้มอบพระเครื่องให้กับทีมแพทย์ที่เดินทางไป ส่วนเป็นพระเครื่องอะไรยังไม่ได้เปิดดูเพราะเก็บอยู่ในกระเป๋า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.พ. 63)
Tags: กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อนุทิน ชาญวีรกูล, ไวรัสโคโรนา