นายวิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป (SPA) เปิดเผยว่า รายได้ปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งปรับลดลงเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่คาดว่ารายได้จะมีการเติบโต
เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้ภาครัฐใช้มาตรการปิดเมือง (Lockdown) และบริษัทได้มีการปิดสาขาทั้งหมด 60 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/63
ขณะที่ปัจจุบันได้ทยอยกลับมาเปิดให้บริการสาขาต่าง ๆ มากกว่า 70% ของสาขาทั้งหมดแล้ว โดยบริษัทได้หันมาทำการตลาดให้ผู้ใช้บริการชาวไทยมากขึ้น ทั้งการตลาดผ่านระบบออนไลน์ ผ่านช่องทาง Influencer ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดใช้บริการแล้วประมาณ 40% และยอดขายปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา
และเชื่อว่าต่อจากนี้ไปจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น ทั้งนี้จะต้องรอดูว่าในไตรมาส 3/63 จะเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาหรือไม่ รวมถึงรอติดตามการพัฒนาวัคซีน และนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของภาครัฐซึ่งอาจจะมีผลทำให้ผลประกอบการของบริษัทสามารถพลิกมีกำไรสุทธิได้
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการนำผลิตภัณฑ์สินค้าที่ให้บริการในสปาออกวางจำหน่ายทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดี จึงทำให้คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6%
สำหรับช่วงที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการสปาหลายรายได้รับผลกระทบจึงส่งผลให้มีการนำธุรกิจมาเสนอขายให้กับบริษัทหลายราย ซึ่งบริษัทมีความจำเป็นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการเข้าซื้อ
นายวิบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อย้ายเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากปัจจุบันที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เนื่องจากจะเปิดโอกาสให้นักลงทุน หรือกองทุนสามารถเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งมองว่าทิศทางของธุรกิจยังสามารถเติบโตได้ในอนาคตอีกมาก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 63)
Tags: mai, SET, SPA, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, วิบูลย์ อุตสาหจิต, สปา, สยามเวลเนสกรุ๊ป, เอ็ม เอ ไอ