ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) โดยระบุว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้ โดยเฟดเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานให้ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมนุษย์ และฉุดเศรษฐกิจของสหรัฐและทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างรุนแรง กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงต่ำกว่าระดับในช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ อุปสงค์ที่อ่อนแอลง และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ กำลังทำให้อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากราคาผู้บริโภคปรับตัวลงด้วย อย่างไรก็ดี ภาวะทางการเงินโดยรวมปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงมาตรการด้านนโยบายต่างๆ ที่นำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจัดสรรสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของสหรัฐ
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้านั้น จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการแพร่ระบาดของไวรัส วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ มีแนวโน้มที่จะฉุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ ให้ทรุดตัวลงอย่างหนักในระยะเวลาอันใกล้นี้ และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางอย่างมีนัยสำคัญ
คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และพยายามหนุนอัตราเงินเฟ้อให้เคลื่อนไหวที่ระดับ 2% เป็นระยะเวลาที่นานขึ้น ทั้งนี้ จากการที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการจึงตั้งเป้าหมายที่จะให้อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 2% ในบางช่วงเวลา เพื่อให้อัตราเฉลี่ยของเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 2% และให้ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 2% โดยคณะกรรมการจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
คณะกรรมการ FOMC ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% โดยคณะกรรมการคาดว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวไปจนกว่าภาวะตลาดแรงงานจะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศัยภาพตามที่เฟดประเมินไว้ และอัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นแตะระดับ 2% และอยู่ในทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2% ในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เฟดจะเพิ่มการถือครองหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานด้านที่อยู่อาศัย รวมถึงหลักทรัพย์ด้านการพาณิชย์ที่มีหนี้จำนองค้ำประกัน อย่างน้อยเท่ากับอัตราในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนให้ตลาดต่างๆ ดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น และช่วยสนับสนุนภาวะด้านการเงินให้เป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้สินเชื่อไหลเวียนไปสู่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการจะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการจะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่างๆ ของคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการจะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านสาธารณสุข ภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาความคืบหน้าทางการเงินและสถานการณ์ในต่างประเทศ
สำหรับกรรมการเฟดผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด, มิเชล ดับเบิลยู โบวแมน, ลาเอล เบรนาร์ด, ริชาร์ด เอช คลาริดา, แพทริค ฮาร์เกอร์, ลอเร็ตตา เจ เมสเตอร์ และแรนดัล เค ควอร์เลส
ส่วนกรรมการเฟดที่คัดค้านการดำเนินนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้ได้แก่ โรเบิร์ต เอส แคปแลน และนีล แคชคารี
ทั้งนี้ โรเบิร์ต เอส แคปแลน คาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะดำเนินการอย่างเหมาะสมในการรักษากรอบเป้าหมายในปัจจุบันเอาไว้จนกว่าคณะกรรมการ FOMC จะมั่นใจว่า เศรษฐกิจสหรัฐสามารถต้านทานปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และคาดหวังว่าเฟดกำลังอยู่ในทิศทางที่จะบรรลุการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และเป้าหมายการสร้างเสถียรภาพราคา ขณะเดียวกันแคปแลนต้องการให้คณะกรรมการยังคงรักษานโยบายการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ด้านนีล แคชคารี ต้องการให้คณะกรรมการ FOMC ส่งสัญญาณว่า คณะกรรมการจะรักษากรอบเป้าหมายด้านนโยบายในปัจจุบันเอาไว้จนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 2% ได้อย่างยั่งยืน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 63)
Tags: FOMC, คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน, ธนาคารกลางสหรัฐ, นีล แคชคารี, นโยบายการเงิน, สหรัฐ, เงินเฟ้อ, เฟด, โรเบิร์ต เอส แคปแลน