นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณเฉลี่ยปีละ 15-20% จากช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 ที่ภาพรวมตลาดถุงมือยางทั่วโลกมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 8-12% ต่อปี และแม้จะมีความคืบหน้าด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนแล้วก็ตามแต่เชื่อว่าจะส่งผลให้ออร์เดอร์ถุงมือยางลดลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทมีออร์เดอร์ถุงมือยางธรรมชาติที่ต้องผลิตเพื่อส่งมอบถึงช่วงปลายปี 64 และถุงมือยางไนไตรล์ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ มีออร์เดอร์ที่ต้องส่งมอบถึงต้นปี 65 หลังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตที่กว่า 32,600 ล้านชิ้น/ปี ทำให้ปรับแผนการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตให้เร็วขึ้น โดยวางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งอีกกว่า 38,000 ล้านชิ้น/ปี รวมเป็นประมาณ 70,000 ล้านชิ้น/ปีภายในปี 69 จากแผนงานเดิมกำหนดไว้ภายในปี 71
โดยเป็นการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานจังหวัดตรัง สุราษฎร์ธานี อำเภอหาดใหญ่และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทเป็นที่เรียบร้อย เพื่อตอบสนองความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายกำลังการผลิตรวมประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
นางสาวจริญญา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมั่นใจรายได้และกำไรในปี 63 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ (Non Medical) ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางสาธารณสุขมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าโรงงานผลิตต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีออร์เดอร์สั่งซื้อถุงมือยางเข้ามามากขึ้น
สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เป็นแรงหนุนให้กับภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 63 อย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นผลักดันให้ราคาถุงมือยางปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/63 คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาส 2/63 และไตรมาส 4/63 จะเพิ่มขึ้นอีก 12% จากไตรมาส 3/63 และยังมีแนวโน้มที่ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นไปมากนัก
ขณะที่แนวโน้มการขายถุงมือยางในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ขายไปได้แล้ว 1.37 หมื่นล้านชิ้น จากออร์เดอร์ที่เข้ามาค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นอีก และในอนาคตแม้จะมีแนวทางในการรักษาโควิด-19 แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากพฤติกรรมของคนปรับเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางสาธารณสุขมากขึ้น และมีความต้องการใช้จากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการแพทย์เข้ามาหนุนคำสั่งซื้อถุงมือยางเข้ามาต่อเนื่องด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 63)
Tags: STGT, จริญญา จิโรจน์กุล, ถุงมือยาง, ศรีตรังโกลฟส์