นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการสัมมนา “สรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และออกแบบการพัฒนาศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ
เพื่อรองรับการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการขับเคลื่อนแผนพลังงานของประเทศไทย” ว่า แนวทางการจัดทำยุทธศาสตร์และการออกแบบในการจัดตั้ง “ศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ” (National Energy Information Center : NEIC) ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการศึกษาและขณะนี้มาถึงบทสรุปผลการศึกษาของโครงการฯ แล้ว
การจัดสัมมนาในวันนี้ (9 ก.ย.) เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ร่วมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมก่อนที่จะนำผลสรุปที่ได้ดำเนินการต่อไป
สำหรับผลการศึกษาได้วางวิสัยทัศน์ของศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติให้เป็นผู้ให้บริการข้อมูลและสารสนเทศด้านพลังงานของประเทศที่ตรงตามความต้องการและเป็นที่เชื่อถือของผู้ใช้ทุกกลุ่ม ทุกประเด็น โดยวางพันธกิจสำคัญในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้มาตรฐานสากล ตามหลักธรรมาภิบาลและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลทุกกลุ่ม โดยประสานความร่วมมือและสร้างเครือข่ายในการรับและเผยแพร่ข้อมูลพลังงาน สามารถให้บริการข้อมูล บทวิเคราะห์ การคาดการณ์ด้านพลังงานให้แก่ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ เสริมสร้างความเข้าใจ สร้างการเข้าถึงแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ได้วางแนวทางที่เป็นโรดแมพในการพัฒนาศูนย์ฯ เป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 ปี 2564-2566 เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน เพื่อจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐด้านพลังงานให้เป็นรากฐานที่สำคัญ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศเพื่อเชื่อมต่อระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ระยะที่ 2 ปี 2567-2569 เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภายนอกกระทรวงพลังงาน เตรียมความพร้อมตามแนวทางของรัฐบาลในการมุ่งสู่แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และระยะที่ 3 ปี 2570-2579 เป็นการเชื่อมโยงคลังข้อมูลแห่งชาติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการให้บริการข้อมูลสารสนเทศเชิงพาณิชย์แก่ผู้ที่สนใจ เพื่อผลักดันให้ศูนย์ฯ เป็นหน่วยงานที่มีความอิสระและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ในสถานการณ์ที่ประเทศต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 การบริหารจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data จึงมีความจำเป็นต้องเร่งประยุกต์นำ Big Data มาใช้กับเทคโนโลยี เพื่อช่วยบริหารจัดการ วางนโยบายและมาตรการด้านพลังงานให้สอดคล้องกับวิถีแบบใหม่หรือ New Normal เพื่อสามารถตอบสนองได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ และพฤติกรรมของผู้คนที่จะปรับเปลี่ยนไปหลังผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ซึ่ง สนพ. เชื่อมั่นว่าการนำผลการศึกษาที่ได้เป็นข้อเสนอการพัฒนาศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงข้อมูลแผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศต่อไป
นายกุลิศ กล่าวอีกว่า ตามความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เบื้องต้นมีแนวคิดจะช่วยเหลือนักศึกษาจบใหม่หรือที่ยังไม่มีงานทำ ให้เข้ามาร่วมทำงานด้านการจัดเก็บข้อมูลด้านพลังงานตามกรอบที่กระทรวงพลังงานและพลังงานจังหวัดได้มอบหมายให้ โดยคาดว่าจะช่วยจ้างนักเรียนนักศึกษาจบใหม่ได้ประมาณ 760 คน หรือจังหวัดละ 10 คน ใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 7.6 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากรัฐวิสาหกิจในสังกัด เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,บมจ.ปตท. (PTT) ,กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มจ้างนักศึกษาได้ประมาณเดือนพ.ย.-ธ.ค. 63 และจะเริ่มต้นให้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้ประมาณม.ค.64 และจะใช้เวลาจัดเก็บข้อมูลประมาณ 1 ปี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนำมาใช้เพื่อการวิเคราะห์ประกอบการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ระยะยาว 20 ปี และนโยบายด้านพลังงานของประเทศ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านพลังงานได้ทั้งทางเว็บไซต์ของศูนย์ฯ และผ่านระบบแอปพลิเคชั่นทางมือถือได้ในช่วงประมาณปี 65
ศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ จะอยู่ภายใต้การดูแลของ สนพ. และเชื่อว่าการตั้งศูนย์ข้อมูลนี้จะช่วยแก้ปัญหาการโต้แย้งด้านข้อมูลพลังงานในประเทศได้ เนื่องจากได้เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งจากระดับชาวบ้านจนถึงระดับประเทศ ทั้งจำนวนสถานีน้ำมันในประเทศ การใช้น้ำมัน การผลิต การจัดหา และพลังงานต่าง ๆ รวมถึงประสานการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง เป็นต้น จึงเป็นศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานของประเทศที่เชื่อถือได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ย. 63)
Tags: Big Data, กุลิศ สมบัติศิริ, จ้างงาน, นักศึกษา, นิสิต, พลังงาน, ศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ, สนพ.