บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ชี้แจงถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ทางทอท. ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ ด้านประกอบกัน อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน รวมทั้งได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ และหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ จะสามารถทำให้องค์กรสามารถดำเนินงานไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของ ทอท. และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
โดยเหตุผลความจำเป็นและแนวทางในการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบดำเนินงานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง (ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) นั้น
เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยประกาศจำกัดการเดินทางเข้าหรือออกนอกประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้การเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศหยุดชะงัก รวมถึงจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ท่าอากาศยานของ ทอท.โดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการและสายการบินกว่า 1,000 สัญญา มีรายได้ลดลงในขณะที่ต้องรับภาระจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนั้น ทอท. ในฐานะรัฐพาณิชย์จึงได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบของสายการบินและผู้ประกอบการ จากการลดลงของจำนวนผู้โดยสาร และสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ
ทั้งนี้ ทอท. ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการตามที่ได้รับการร้องขอ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เริ่มจากเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติแนวทางให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญากับ ทอท. โดยเรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละจากยอดรายได้ประกอบกิจการ โดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 รวมทั้งได้ขยายระยะเวลาการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนสำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระปกติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563 ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการกำหนดอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่และอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากการประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายหลังสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือช่วงแรก ในวันที่ 31 มีนาคม 2565 แล้ว โดย ทอท.จะเรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยใช้อัตราผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของปี 2562 เป็นฐานในการคำนวณ
นอกจากนี้ ยังกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือสายการบินเพิ่มเติม เช่น การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน ค่าธรรมเนียมที่เก็บอากาศยาน ค่าเช่าพื้นที่ในการประกอบกิจการ ในอัตราร้อยละ 50 เป็นต้น รวมทั้งเลื่อนระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว สำหรับยอดที่ครบกำหนดชำระตามระยะเวลาการประกอบกิจการปกติออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563 พร้อมทั้งกำหนดแนวทางในการนำอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมาใช้ภายหลังสิ้นสุดมาตรการฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่สัญญาในการประกอบกิจการ
จากนั้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนของผู้ประกอบการและสายการบินสำหรับยอดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563 ออกไปอีก จาก 6 เดือน เป็น 12 เดือน เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายลง
สำหรับแนวทางการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในการขยายระยะเวลาการสิ้นสุดสัญญาและการปรับการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำนั้น เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ได้ตามกำหนด รวมทั้งส่งผลต่อแผนการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) จากเดิมซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2563 ต้องเลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2565 (ทั้งนี้ กำหนดการดังกล่าว ทอท. ได้พิจารณาจากปัจจัยหลักในเรื่องกำหนดแล้วเสร็จ ประกอบกับการทดสอบระบบ รวมทั้งจำนวนผู้โดยสารที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของ ทอท.ด้วย)
ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 จึงมีมติอนุมัติให้เลื่อนเวลาการเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ออกไปอีก 1 ปี พร้อมทั้งขยายระยะเวลาสิ้นสุดของการประกอบกิจการออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 31 มีนาคม 2574 เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2575 และปรับการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 โดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing per Head)ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นเสนอไว้เดิมในการประมูล มาคำนวณร่วมกับจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้นๆ
ในขณะที่ยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละเหมือนเดิม และเมื่อใดที่จำนวนผู้โดยสารกลับมาเท่ากับจำนวนผู้โดยสารตามประมาณการที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นเสนอราคาไว้ จะปรับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสูตรที่กำหนดไว้ในสัญญา
ทั้งนี้ AOT ระบุว่าจากมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ ในช่วงปี 2563-2565 ดังนี้
- ในปี 2563 ทอท. คาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ 2562 ในอัตรา 50.70%
- ในปี 2564 ทอท. คาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ 2563 ในอัตรา 42.21%
- ในปี 2565 ทอท. คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2564 ในอัตรา 188.13%
ทั้งนี้ภายใต้การคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้โดยมีวัคซีนป้องกันโรค และปริมาณการจราจรทางอากาศในปี 2565 จะมีจำนวนผู้โดยสาร คิดเป็น 76% ของปี 2562 (ซึ่งเป็นปีก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ส.ค. 63)
Tags: AOT, คิงเพาเวอร์, ทอท., ท่าอากาศยาน, ท่าอากาศยานไทย, มาตรการช่วยเหลือ, สนามบิน, สายการบิน, หุ้นไทย