ผลการสำรวจล่าสุดโดย FICO บริษัทซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก พบว่า ธนาคารไทยร้อยละ 91 เชื่อว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารหลายแห่งยังคงไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้
โดยผลสำรวจระบุว่า ธนาคารร้อยละ 82 กำลังประสบกับความยากลำบากอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) แบบ Rules-based ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ร้อยละ 95 ของธนาคารไทยยังคงเชื่อมั่นในการใช้ระบบ Rules-based แบบเก่าเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย AML
Timothy Choon ผู้อำนวยการฝ่ายอาชญากรรมทางการเงินประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ FICO กล่าวว่า “ระบบ Rules-based ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารในเอเชียแปซิฟิกใช้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเริ่มมีธนาคารบางแห่งเปิดรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI แล้ว และตระหนักได้ว่าระบบแบบ Rules-based ที่ใช้มานานนับทศวรรษนั้น ไม่สามารถตามทันกลโกงรูปแบบใหม่ที่มีความซับซ้อนได้
“สูตรลับความสำเร็จก็คือการใช้เทคโนโลยี AI โดยให้เทคโนโลยีขั้นสูงนี้ทำงานควบคู่กับระบบแบบ Rules-based แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 20 เลือกข้อนี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการบรรเทาความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางการเงิน”
ทั้งนี้ ผลสำรวจระดับภูมิภาคแสดงให้เห็นว่า ความท้าทายที่สำคัญสำหรับการใช้โซลูชัน AML แบบเดิมนั้น ได้แก่ ความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงประเภทใหม่ๆ ในช่องทางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ, ความสามารถในการจัดหาโซลูชั่นการปฏิบัติตามกฎแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ และความสะดวกรวดเร็วในเปลี่ยนแปลงตามกฎระเบียบใหม่ๆ
ต่อข้อสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนในเทคโนโลยีนั้น ธนาคารส่วนใหญ่ (93%) ทั่วเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายงบประมาณด้านเทคโนโลยีไปกับการอัปเกรดหรือไม่ก็ปรับปรุงระบบการปฏิบัติตามกฎที่ใช้อยู่เดิม อย่างไรก็ดี ในสิงคโปร์ และ ฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาค พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงสองในสามที่ระบุว่า ธนาคารของพวกเขาอาจจะเริ่มการลงทุนใหม่ในเทคโนโลยีการปฏิบัติตามกฎ เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่ายในด้านนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
สำหรับในประเทศไทย ร้อยละ 100 ของธนาคารระบุว่าจะลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมทางเงินในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และร้อยละ 41 มีแผนจะเพิ่มการลงทุนด้านนี้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2564
ทั้งนี้ คาดว่าระดับการลงทุนโดยรวมในด้านเทคโนโลยีปฏิบัติตามกฎของธนาคารในเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นในปี 2564 โดยผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 49 ระบุว่าจะเพิ่มงบประมาณ ขณะที่อีกร้อยละ 34 คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ และที่น่าสนใจคือ ธนาคารต่างชาติมีแนวโน้มมากกว่าที่จะเริ่มการลงทุนใหม่ เมื่อเทียบกับธนาคารในประเทศ โดยอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่คาดว่าจะมีการลงทุนมากที่สุดในปี 2564
Integrated AML Compliance Survey ของ FICO จัดทำขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยใช้แบบสอบถามเชิงปริมาณทางออนไลน์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารอาวุโส 256 คนจากธนาคารใน 11 ประเทศ ซึ่งบริษัทวิจัยอิสระแห่งหนึ่งดำเนินการสำรวจในนามของ FICO ครอบคลุมออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ส.ค. 63)
Tags: ธนาคารพาณิชย์, ปัญญาประดิษฐ์, ฟอกเงิน, สถาบันการเงิน