- สภาพัฒน์ คาดการณ์ GDP ปี 63 อยู่ที่ -7.8 ถึง -7.3 % จากเดิม -6 ถึง -5%
- ปี 63 คาดการณ์ส่งออกอยู่ที่ -10% จากเดิม -8% คาดการณ์นำเข้าที่ -15.4% จากเดิม -13.2% โดยจะเกินดุลการค้าที่ 35.7 พันล้านดอลลาร์
- สภาพัฒน์ คาดการณ์เงินเฟ้อปี 63 อยู่ที่ -1.2 ถึง -0.7% จากเดิม -1.5 ถึง -0.5%
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 2/63 หดตัวถึง -12.2% จากตลาดคาด -13% ถึง -17% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นผลพวงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการกีดกันทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องจากไตรมาส 1 จนกระทั่งเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศปรับตัวลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และ ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 6.9%
อย่างไรก็ดี สภาพัฒน์คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ ไตรมาส 3 และ 4 จะเริ่มฟื้นกลับมาดีขึ้นเมื่อเทียบรายไตรมาส แต่ยังมีโอกาสติดลบอยู่ ส่งผลให้สภาพัฒน์ปรับประมาณการ GDP ทั้งปี 63 ลงมาเหลือ -7.5% (กรอบ -7.8 ถึง -7.3%) จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน พ.ค.ว่าจะหดตัวในระดับ -6 ถึง -5% เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากต่างชาติลดลงมาก, ภาวะความถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก, ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และปัญหาภัยแล้ง
“จีดีพีไตรมาส 2 ที่ลดลงถึง -12.2% เนื่องจากเป็นช่วงของการล็อกดาวน์ มีการปิดประเทศ ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น แต่ขณะนี้กิจกรรมทุกอย่างเริ่มกลับมา จึงคาดว่าไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มกลับขึ้นมาได้ แต่คงจะต้องใช้เวลากว่าที่กลับมาเท่ากับในช่วงที่ก่อนเกิดโควิด เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมาเท่าที่ควร การส่งออกก็ยังไม่เข้ามาเติมเต็ม รวมทั้งต้องรอดูสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วย” นายทศพรระบุ
ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงนั้นอยู่ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจโลกหดตัว -4.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 43 ดอลลาร์/บาร์เรล ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 31.30 บาท/ดอลลาร์ การส่งออกลดลง -10% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.7 ล้านคน รายได้การท่องเที่ยว 3.1 แสนล้านบาท อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ราว 91.8%
อัตราการขยายตัว (%) | ปี 2561 | ปี 2562 | ณ 18 พ.ค. 63 | ณ 17 ส.ค. 63 |
ข้อมูลจริง | ข้อมูลจริง | ประมาณการปี 2563 | ประมาณการปี 2563 | |
GDP | 4.2 | 2.4 | (-6.0) – (-5.0) | (-7.8) – (-7.3) |
การลงทุนภาคเอกชน | 4.1 | 2.8 | -4.2 | -10.2 |
การลงทุนภาครัฐ | 2.9 | 0.2 | 5.6 | 8.6 |
การบริโภคภาคเอกชน | 4.6 | 4.5 | -1.7 | -3.1 |
การอุปโภคภาครัฐบาล | 2.6 | 1.4 | 3.6 | 3.6 |
มูลค่าการส่งออกในรูป USD | 7.5 | -3.3 | -8 | -10 |
มูลค่าการนำเข้าในรูป USD | 13.7 | -5.6 | -13.2 | -15.4 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด (%GDP) | 5.6 | 7 | 4.9 | 2.5 |
เงินเฟ้อ | 1.1 | 0.7 | (-1.5) – (-0.5) | (-1.2) – (-0.7) |
ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจปีนี้ ประกอบด้วย 1.ความสำเร็จในการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการปิดสถานที่และการเดินทาง 2. การเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาครัฐ 3. การปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลัง 4. การผลิตและการส่งออกสินค้าสำคัญที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทิศทางการค้า และการย้ายฐานการผลิต
ขณะที่ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คือ การลดลงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และความล่าช้าในการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ, สถานการณ์ภัยแล้ง และการเพิ่มขึ้นของการว่างงาน และข้อจำกัดด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
ด้านปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย คือ ความไม่แน่นอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, ความผันผวนของเศรษฐกิจและระบบการเงินโลก ภายใต้เงื่อนไขความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ทิศทางนโยบายการเงิน สภาพแวดล้อมทางการเงินการคลัง ตลอดจนความเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการชุมนุมทางการเมืองถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจ หากความขัดแย้งขยายวงกว้างออกไปจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรวม ถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน จึงต้องจับตาปัจจัยนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะฟื้นตัวได้เร็วหรือช้า ยังต้องขึ้นกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลกว่าจะมีการผลิตวัคซีนออกมาใช้ได้เร็วหรือไม่ เพราะออกมาได้เร็วก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 64
สำหรับประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 63 ประกอบด้วย
1.การประสานนโยบายการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
2.การพิจารณามาตรการเพิ่มเติมสำหรับภาคธุรกิจและแรงงานในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีอุปสรรคในการฟื้นตัว
3.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน
4.การดูแลภาคการเกษตรจากปัญหาภัยแล้ง และการลดลงของราคาสินค้าส่งออก
5.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐควบคู่กับมาตรการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว
6.การส่งเสริมไทยเที่ยวไทยและการรณรงค์ใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
7.การเตรียมรองรับความเสี่ยงสำคัญๆ เช่น การระบาดของโควิดรอบสอง, ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
8.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองในประเทศ
ปรับลดกรอบจีดีพีปี 63 อยู่ที่ -7.8 ถึง -7.3%
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 63 จะปรับตัวลดลงในช่วง -7.8% ถึง -7.3% เป็นการปรับลดลงจากเดิมที่คาดไว้ในช่วง -6.0% ถึง -5.0% เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากต่างชาติที่ลดลงมาก, ภาวะความถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก, ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ และ ปัญหาภัยแล้ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 63)
Tags: จีดีพี, ทศพร ศิริสัมพันธ์, สภาพัฒน์, เศรษฐกิจ