นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนมากขึ้น เนื่องจากเห็นศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนจีนในหลายอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตระยะยาว
ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนมีหุ้นในหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เทคโนโลยีด้าน 5G/Internet of Things ซึ่งรัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมอย่างมาก หรือ วัตถุดิบตั้งต้นที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาและวัคซีน เป็นต้น ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาด A-shares ในขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ยังไม่ถือว่าสูงมากนัก และราคาหุ้นที่ปรับขึ้นช่วงที่ผ่านมา ก็มีปัจจัยพื้นฐานรองรับมาจากผลการดำเนินงานที่ดี แตกต่างจากปี 2558 ที่มูลค่าหุ้นแพงเกินจริง เพราะผลการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับราคา
“ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจที่จะลงทุน เนื่องจากจีนจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายใน 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 ตามการคาดการณ์ของอลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ (Allianz Global Investors หรือ AGI) อันจะเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญสำหรับนักลงทุน” นายพีรพงศ์ กล่าว
ด้านนายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กองทุนบัวหลวง กล่าวว่า กองทุนบัวหลวงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นจีนที่สอดคล้องกับ AGI ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทุนบัวหลวง โดยมีความเห็นร่วมกันว่า นักลงทุนควรคว้าโอกาสลงทุนในจีน จากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1.จีนสามารถบริหารจัดการเพื่อนำพาเศรษฐกิจผ่านพ้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวก่อนประเทศ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคตมีน้อยกว่าประเทศอื่น ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน เช่น ยกระดับมาตรฐานทางสาธารณสุข การเร่งขึ้นของธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น
2.ตลาดหุ้นจีนมีเรื่องราวการเติบโตที่นักลงทุนไม่อาจมองข้าม จากการที่จีนเน้นนโยบาย ‘MADE IN CHINA 2025’ หรือการยกระดับศักยภาพของบริษัทโดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อทดแทนการนำเข้า และส่งเสริมการบริโภคในประเทศ เช่น หมวดเทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอเทค) เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น 5G/Internet of Things ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนภาคธุรกิจอื่นที่มีมูลค่าสูงก็ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมจีน
3.ตลาดหลักทรัพย์จีนปรับกฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริษัทเข้าไปจดทะเบียนเพื่อการระดมทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น และเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนกลุ่ม A-Shares ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นได้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีความโปร่งใสและธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่ม A-Shares ก็ถูกนำไปคำนวณรวมในดัชนี MSCI Emerging Markets Index ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ของจีนมากขึ้นในอนาคต
“หากนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน หรือ B-CHINE-EQ นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีความแตกต่างในตลาด เนื่องจากกองทุนนี้ มีทั้ง AGI เป็นผู้รับดำเนินงานการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ในการหาโอกาสลงทุนเชิงรุกแบบคัดสรรหุ้นรายตัวประกอบกับอยู่ใกล้ชิดกับตลาด ทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในตลาดจีนเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน กองทุนบัวหลวงยังมีทีมงานเฟ้นหาโอกาสเลือกลงทุนหุ้นจีนได้เองควบคู่ไปด้วย ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของ NAV ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุนทำผลการดำเนินงานได้น่าพอใจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา” นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวว่า ในส่วนที่กองทุนบัวหลวงลงทุนในหุ้นจีนโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมา ทีมงานมุ่งเน้นการคัดสรรลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน ที่มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมหลากหลายธุรกิจสอดคล้องกับธีมการลงทุนของบริษัทในปีนี้ที่ว่า ‘เครือข่ายครอบคลุมสร้างความแข็งแกร่ง บรรษัทแข็งแรงสร้างความยั่งยืน’ ได้แก่ อาลีบาบา ซึ่งเป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ที่ไปลงทุนธุรกิจอื่นๆ เช่น สื่อออนไลน์ เทคโนโลยีการเงิน และเทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์ เจ้าของแอปพลิเคชัน WeChat ซึ่งเป็น Platform หลักสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ที่หลากหลาย
ปัจจุบัน กองทุน B-CHINE-EQ มีการจัดสรรเงินไปลงทุนในหุ้นของบริษัทจีนผ่านหน่วยลงทุนกองทุน Allianz All China Equity Fund และ Allianz China A Shares Equity Fund โดยในรอบ 6 เดือน (ก.พ.-ก.ค. 2563) ของปีนี้ B-CHINE-EQ ให้ผลตอบแทน 25.24% หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 20.01% และถ้านับระยะเวลา 1 ปี ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 กองทุน B-CHINE-EQ ให้ผลตอบแทน 40.92% หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 26.73%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ส.ค. 63)
Tags: บัวหลวง, พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา, สันติ ธนะนิรันดร์