“Weekly Highlight” สัปดาห์นี้ (10-14 ส.ค.) มาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 10 สิงหาคม 2563
เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (3-7 ส.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,324.40 จุด ลดลง 0.31% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มขนส่งโลจิสติกส์ ลดลง 3.8% รองลงมาคือกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 3.7% และสุดท้ายคือกลุ่มการแพทย์ ลดลง 2.7%
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กดดันบรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ที่ส่งสัญญาณทวีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งห้ามแอปพลิเคชันชื่อดังสัญชาติจีนอย่าง TikTok และ WeChat ไม่ให้ดำเนินการในสหรัฐฯ พร้อมกับสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เข้าซื้อกิจการ และมีกระแสข่าวว่าทาง “ทวิตเตอร์” ก็เตรียมกระโดดเข้ามาร่วมวงขอซื้อกิจการ TikTok ในครั้งนี้ด้วย
ขณะที่ทางฝั่งของจีนเอง ก็พร้อมอออกมาตอบโต้สหรัฐฯเช่นกัน ทำให้เกิดเป็นคำถามของนักลงทุนทั่วโลกในเวลานี้ว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะเป็นชนวนบานปลายสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลก และหุ้นเทคโนโลยีของทั้ง 2 ประเทศนี้อย่างไรในอนาคต
นอกเหนือจากประเด็นความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีของ 2 ประเทศมหาอำนาจแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยต่างประเทศที่นักวิเคราะห์เฝ้าจับตาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯรอบใหม่ว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่ามหาศาลแค่ไหน เพราะหากวงเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจต่ำกว่าคาด อาจเป็นความเสี่ยงต่อการหั่นประมาณการเศรษฐกิจโลกในระลอกใหม่ได้เช่นกัน
ส่วนปัจจัยสำคัญภายในประเทศ นอกจากเกาะติดกับการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของเหล่าบรรดาบริษัทจดทะเบียน ในกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการผลิตแล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงกลางสัปดาห์นี้ คือการคำนวณดัชนี MSCI Global Standard Index รอบใหม่ในวันที่ 12 ส.ค.นี้
ตามความเห็นนักวิเคราะห์ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้คาดจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,313-1,300 จุด และแนวต้าน 1,346-1,350 จุด พร้อมกับแนะนำให้จับตาหุ้น 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ที่อาจสุ่มเสี่ยงถูกดัชนี MSCI ปรับลดน้ำหนักหลังจากได้ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้
“ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าหุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนไทยจะไม่ถูกคัดเข้าและออกรอบนี้ แต่มีความสุ่มเสี่ยงบางอุตสาหกรรมที่อาจถูกปรับลดน้ำหนัก หลังจากได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) เป็นต้น โดยกระแสเงินที่ไหลออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกองทุนประเภท Passive Fund ที่ลงทุนโดยอ้างอิงมาตรฐานตามการคำนวณของดัชนี MSCI Global Standard Index เป็นหลักผลักดันเงินกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นประเทศจีน เกาหลี และไต้หวัน ที่คาดว่าจะมีหุ้นใหม่ที่เข้าไปคำนวณจากการ Rebalance ในรอบนี้”
นายกรภัทร กล่าว
ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ (10-14 ส.ค.) จะอยู่ที่ 30.90-31.40 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน (3-7 ส.ค.) ทิศทางค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าช่วงท้ายสัปดาห์ หลังจากที่เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ สอดคล้องกับภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย ประกอบกับเงินบาทน่าจะได้รับอานิสงส์บางส่วนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำด้วย โดยปัจจัยสำคัญต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ และจีน และการเจรจาระดับสูงของผู้แทนการค้าของทั้งสองประเทศในเรื่องผลความคืบหน้าตามข้อตกลงเฟสแรก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือนก.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ เดือน ส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือน ก.ค. ด้วยเช่นกัน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ส.ค. 63)
Tags: PODCAST, SET Index, กรภัทร วรเชษฐ์, กสิกรไทย, ตลาดหุ้นไทย, โนมูระ พัฒนสิน