สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ที่ระบุว่า การยกเรื่องปัจเจกชนนิยม (Individualism) ให้มีความสำคัญเหนือกว่าการปฏิบัติตามข้อจำกัดเพื่อควบคุมโรคระบาดของรัฐบาล ตลอดจนการทำงานที่ผิดพลาดของฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนมีส่วนทำให้สหรัฐ “ล้มเหลว” ในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
“ประการแรก สหรัฐประสบกับความท้าทายในการเผชิญหน้ากับโรคระบาดใหญ่ เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับเศรษฐกิจโลก และมีธรรมเนียมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปัจเจกชนนิยมเหนือการปฏิบัติตามข้อจำกัดของรัฐบาล”
“ธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สหรัฐต้องทนทุกข์กับระบบการดูแลสุขภาพที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบในทางการแพทย์มาเนิ่นนาน ดังจะเห็นได้จากอัตราการเสียชีวิตของทารกและอัตราการป่วยเป็นโรคเบาหวานที่สูงขึ้น รวมถึงอายุคาดการณ์เฉลี่ยที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศร่ำรวยส่วนใหญ่”
“ประการที่สอง คณะผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขสหรัฐไม่สะดวกใจจะพูดคุยหรือถกเถียง เนื่องจากหลายคนพยายามถอยห่างจากการเมืองที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย แต่หลายฝ่ายก็ยอมรับว่า การรับมือกับโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ในสหรัฐส่วนใหญ่เป็นผลพวงจากการดำเนินงานของฝ่ายบริหารภายใต้การนำของทรัมป์”
“ไม่มีประเทศรายได้สูง หรือมีเพียงไม่กี่ประเทศที่เหล่าผู้นำทางการเมืองจะเพิกเฉยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้บ่อยครั้งเท่ากับฝ่ายบริหารของทรัมป์”
“กระแสความสงสัยทั่วประเทศที่มีต่อแนวร่วมปฏิบัติการ และการรับมือกับโรคโควิด-19 อย่างไร้ทิศทางของฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีส่วนทำให้สหรัฐล้มเหลว และพลาดโอกาสหลายครั้งได้แก่ ข้อจำกัดการเดินทางอันมีประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอ, การตรวจโรคที่ล้มเหลวบ่อยครั้ง, คำแนะนำเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัยที่ชวนให้สับสน, ความไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรคโควิด-19 กับเศรษฐกิจ และความย้อนแย้งของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ”
ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รายงานว่า สหรัฐตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เกิน 4.88 ล้านราย และผู้ป่วยเสียชีวิตเกิน 1.6 แสนราย เมื่อนับถึงช่วงเช้าวันศุกร์ (7 ส.ค.) ทำให้สหรัฐยังคงครองตำแหน่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 หนักหน่วงที่สุดในโลก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 63)
Tags: COVID-19, XINHUA, ปัจเจกชนนิยม, สหรัฐ, โควิด-19, โดนัลด์ ทรัมป์