“Weekly Highlight” สัปดาห์นี้ (29-31 ก.ค.) มาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2563
เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (20-24 ก.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,340.92 จุด ลดลงเกือบ 1.4% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มเกษตร ลดลง 8.7% รองลงมาคือกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลและเวชภัณฑ์ ลดลง 7.2% และสุดท้ายคือกลุ่มธนาคาร ลดลง 3.6%
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้จะเปิดซื้อขายเพียง 3 วันทำการเท่านั้น หลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลวันหยุดยาว แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยเกิดสัญญาณ “เทคนิเคิลรีบาวด์” หรือมีแรงซื้อคืน ผลักดันดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้น เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขายส่งท้ายในช่วงปลายสัปดาห์ จากเหตุความกังวลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายสั่งปิดสถานกงสุลของอีกฝ่ายในเมืองสำคัญ สะท้อนถึงการแสดงออกทางการเมืองเชิงลึก ที่อาจนำไปสู่การจุดชนวนความขัดแย้งของข้อตกลงทางการค้าให้ปะทุขึ้นในรอบใหม่
ซ้ำเติมสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งตามรายงานล่าสุดพบผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสมรวมกันมากกว่า 16.6 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมรวมมากกว่า 650,000 ราย ส่วนสถานการณ์ในไทยยังทรงตัวในทิศทางที่ดี โดยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศรายใหม่ต่อเนื่องมาแล้ว 64 วันนับตั้งแต่ 25 พ.ค.เป็นต้นมา
สำหรับข้อมูลการลงทุนผ่านมุมมองของ นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ประเมินภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยรอบสัปดาห์ ที่แม้ว่าจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจเป็นแค่ช่วงสั้นเท่านั้น ดังนั้น กลยุทธ์หลักคือ ขายทำกำไรเมื่อตลาดดีดกลับ และไม่ควรเข้าไปซื้อโดยใช้วิธีไล่ราคา เพราะเมื่อตลาดหุ้นไทยเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือน ส.ค.เป็นต้นไป มีโอกาสสูงที่ดัชนีฯจะเริ่มเข้าสู่ขาลงอย่างชัดเจนอีกครั้ง เนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่ ประกอบกับแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจที่เตรียมรายงานกันออกมาก็มีแนวโน้มไม่สดใส ขณะเดียวกันแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังส่งสัญญาณอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง มีผลเชิงลบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตลอดเดือน ส.ค. มีกรอบการเคลื่อนไหวที่ต่ำลงมาอยู่ที่ 1,300-1,350 จุดและ 1,280-1,330 จุด ตามลำดับ
“ถ้านักลงทุนสังเกตจะพบว่าช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พอเข้าซื้อหุ้นตอนตลาดเด้งคืนก็โดนตบลงมาทุกครั้ง ดังนั้นนักลงทุนไม่ต้องไปไล่ราคา แนะนำเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เมื่อตลาดเด้งขึ้นไปก็ปรับพอร์ตขายทำกำไร หรือลงมาระดับหนึ่งก็ซื้อสวนเข้าไปได้ แต่ก็ต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดีไม่ต้องเร่งรีบนัก”
นายประกิต กล่าว
บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 1,325 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,350 และ 1,365 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (28-29 ก.ค.) ประเด็นขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน สถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์การเมืองในประเทศ รวมถึงการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียน ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2/63 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายเดือนมิ.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2/63 ของยูโรโซน กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และดัชนี PMI เดือนก.ค. ของจีน รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น
ธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.50-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากเมื่อวันศุกร์ (24 ก.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.72 (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งที่ 31.86) ทรงตัวจากระดับปิดในวันศุกร์ก่อนหน้า (17 ก.ค.)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 63)
Tags: PODCAST, SET Index, ตลาดหุ้นไทย, ธนาคารกสิกรไทย, บล.กสิกรไทย, ประกิต สิริวัฒนเกตุ, หุ้นไทย, เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์