นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐยังคงพิจารณาที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหภาพยุโรป (EU) และจากประเทศอื่นๆ หากประเทศเหล่านั้นยังดำเนินมาตรการกีดกันด้านการค้าต่อไป
นายรอสส์กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศขณะเข้าร่วมการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐมีเหตุผลที่ดีพอในการเก็บภาษีตามที่ต้องการ หากท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มองว่า เป็นวิธีการที่ดีกว่าการเจรจา
นายรอสส์ระบุด้วยว่า สหรัฐได้เจรจาอย่างสร้างสรรค์กับผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมนี, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และจนถึงขณะนี้ สหรัฐยังไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการดังกล่าว แต่หากประเทศเหล่านั้นเลือกทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล ด้วยการใช้มาตรการที่เป็นการกีดกัน หรือเลือกปฏิบัติทางการค้า เช่น การเรียกเก็บภาษีบริการด้านดิจิทัลนั้น สหรัฐก็คงจะต้องดำเนินการตอบโต้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะตัดสินใจในกลางเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า จะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จาก EU หรือไม่ ขณะที่ EU ก็ขู่ที่จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐวงเงิน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หากปธน.ทรัมป์ตัดสินใจเก็บภาษีดังกล่าว โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ทำการศึกษาว่าจะเก็บภาษี EU หรือไม่ภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ซึ่งจะอนุญาตให้สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่ดูเหมือนจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้โดยไม่ต้องขออนุมัติจากสภาคองเกรส
อย่างไรก็ตาม ปธน.เอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสและปธน.ทรัมป์ได้ตกลงกันในสัปดาห์นี้ที่จะหยุดพักความขัดแย้งเกี่ยวกับการเก็บภาษีดิจิทัลไว้เป็นการชั่วคราว ซึ่งก็เท่ากับว่า จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในปีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ม.ค. 63)
Tags: ภาษีนำเข้า, มาตรการกีดกันการค้า, รถยนต์, สงครามการค้า, สหรัฐ