ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมาจากความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน, จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่บริษัทจดทะเบียนของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,469.89 จุด ลดลง 182.44 จุด หรือ -0.68%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,215.63 จุด ลดลง 20.03 จุด หรือ -0.62% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,363.18 จุด ลดลง 98.44 จุด หรือ -0.94%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 0.8%, ดัชนี S&P500 ลบ 0.3% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 1.3%
ตลาดถูกกดดันจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนสั่งให้สหรัฐปิดสถานกงสุลในเมืองเฉิงตู เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุ 4 ล้านรายแล้ว และมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 1,000 คนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 4,244,605 ราย และมีผู้เสียชีวิต 148,387 ราย
ทั้งนี้ หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ ยกเว้นหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหนักที่สุด
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถ่วงตลาดลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยหุ้นอินเทล ร่วง 16.24% หลังบริษัทรายงานความล่าช้าในการผลิตชิป ขนาด 7 นาโนเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กลงและมีขีดความสามารถในการประมวลผลได้เร็วขึ้น
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ร่วง 1.1% ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งบริหารที่มีเป้าหมายเพื่อลดราคายาลง
หุ้นลบอื่นๆ ในตลาดได้แก่ หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วง 1.4% หลังรายงานผลกำไรรายไตรมาส ร่วง 85% เนื่องจากการกันเงินสำรองเกือบ 638 ล้านดอลลาร์เพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล ร่วง 2.8% และหุ้นเทสลา อิงค์ ร่วง 6.3%
ส่วนหุ้นบวกในตลาดได้แก่ หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) พุ่ง 16.5% และหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น บวก 1.8% หลังเปิดเผยรายได้และผลกำไรที่สูงเกินคาด
ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทชั้นนำ, การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ก.ค. และการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 ของสหรัฐซึ่งคาดว่าจะย่ำแย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์
บริษัทแอปเปิล, อัลฟาเบท และแอมะซอน.คอม จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 30 ก.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผย GDP ไตรมาส 2 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดลง 35%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 13.8% สู่ระดับ 776,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 4% สู่ระดับ 700,000 ยูนิต
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 50.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 47.9 ในเดือนมิ.ย.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ค. 63)
Tags: จีนสหรัฐ, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก