วงเสวนา ‘หยุดโควิดแต่ไม่หยุดเศรษฐกิจไทย’ เห็นพ้องเศรษฐกิจฟื้นไม่ได้ ถ้าโควิดไม่นิ่ง

วงเสวนา “หยุดโควิดแต่ไม่หยุดเศรษฐกิจไทย” นำเสนอมุมมองด้านสาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง ตัวแทนนักธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเห็นร่วมกันว่า ต้องมองทั้ง 2 เรื่องไปด้วยกัน เพราะเมื่อสามารถควบคุมโรคได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะกลับมา

นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริรราชพยาบาล กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศนั้นจะต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ เพราะมีความเชื่อมโยงกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ซึ่งแพทย์เองไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องรอให้ประเทศปลอดเชื้อก่อน แต่ดูว่ามีกลไกที่จะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดได้หรือไม่

“จะเห็นได้ว่าการคลายล็อกที่ผ่านมา แพทย์ไม่ได้คัดค้าน แต่เฝ้าดูว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ ซึ่งเครื่องมือที่สำคัญคือแอพพลิเคชั่น “ไทยชนะ” การดำเนินการจะคำนึงถึงเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก เพราะถ้าสุขภาพไม่ดีก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมา การผ่อนคลายแต่ละเฟสมีการดูแลอยู่แล้ว แค่ไม่ได้บอกว่าจะให้ติดเชื้อเท่าไหร่ จะเห็นว่าขณะนี้ไม่ได้ห้ามออกข้างนอก” นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ความสำเร็จในการแก้ปัญหาของเราเกิดจากการดูแลใน 2 ส่วน คือ ดูแลผู้เสี่ยงติดเชื้อ กับดูแลผู้เสี่ยงแพร่เชื้อ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ควรมองด้านเดียวว่าขณะนี้ไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเข้มงวดเรื่องสุขอนามัย ทั้งการสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง แต่สังคมไทยต้องเข้าใจเรื่องการดูแลสุขอนามัยอย่างต่อเนื่องไป ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าธปท. กล่าวว่า การดูแลเศรษฐกิจและสาธารณสุขเหมือนกัน อย่างในช่วงแรกที่กลัวการระบาด ด้านสาธารณสุขได้ทำมาตรการทั่วไปควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย รวมถึงมาตรการเยียวยาก็ทำแบบทั่วไป แต่วันนี้เมื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว และกำลังเข้าสู่การฟื้นฟูก็ต้องมีการดูแลเฉพาะกลุ่ม เศรษฐกิจเองก็เช่นเดียวกันต้องดูแลเป็นกลุ่ม และที่สำคัญต้องเข้ากับวิถีชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)

อย่างในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมาคาดว่ามีผลให้คนว่างงาน 7-8 ล้านคน แต่หลังจากคลายล็อกแล้วน่าจะแรงงานกลับมาได้ 50% ส่วนที่เหลือเป็นแรงงานที่กลับสู่ภูมิลำเนา ซึ่งต้องส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน

ในการแก้ปัญหาต้องดำเนินการทั้ง 2 เรื่องไปด้วยกัน และให้เข้ากับบริบทแต่ละช่วงเวลา อย่างตอนเหตุการณ์ระบาดรุนแรง ใช้ด้านสาธารณสุขนำ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ เมื่อควบคุมได้ และเริ่มผ่อนคลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา ตลาดเงิน ภาคส่งออก เริ่มกลับมาดีขึ้น

“วันนี้เราประสบความสำเร็จด้านการแพทย์ สามารถควบคุมการระบาดในประเทศได้ ต่อไปต้องหาสมดุลใหม่ให้เหมาะสม และมองว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างก่อนประเทศอื่นๆที่ยังควบคุมไม่ได้”

ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/63 ถือว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว หากไม่เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 เพราะทุกอย่างชะงักงันไปหมด ส่วนการฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมา คาดว่าน่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ปี เพราะต้องยอมรับว่าโรคจะอยู่กับเราไปอีกสักระยะ จนกว่าจะมีวัคซีน และการระบาดที่เกิดขึ้นในหลายประเทศยังต้องใช้เวลา ซึ่งเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่พึ่งพาต่างประเทศเป็นหลัก

“โลกหลังโควิดคงไม่เหมือนเดิม ดังนั้นความหวังที่จะให้มียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเหมือนเดิมคงใช้เวลาอีกนาน เพราะจากเดิมที่สามารถเดินทางเข้า-ออกได้ตลอดเวลาแต่ขณะนี้จะมีขั้นตอนมากขึ้น รูปแบบการท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมส่วนเกิน และกิจกรรมใหม่”

นายวิรไท ระบุอีกว่า กฎเกณฑ์ภาครัฐสำคัญมาก เพราะการส่งเสริมกติกาให้เอื้อต่อการปรับตัวได้รวดเร็วจะช่วยได้มาก

พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสมช. กล่าวว่า เจตนารมย์สำคัญของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) คือการดูแลสุขภาพของประชาชน และไม่ให้เกิดวิกฤตเกินกำลังของบุคลากรทางการแพทย์ จึงได้มีมาตรการที่จะควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ต่อมาเห็นว่าควรต้องให้เศรษฐกิจเดินหน้าจึงได้มีทยอยคลายล็อกเป็นระยะๆ โดยให้โอกาสกิจการและกิจกรรมที่เสี่ยงน้อยก่อนเป็นลำดับต้นๆ

ซึ่งล่าสุดเริ่มผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้ แต่มีมาตรการดูแลไม่ให้มีการนำเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาแพร่ระบาด และมั่นใจว่ามาตรการของ ศบค.สามารถควบคุมไม่ให้มีการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศ

นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า หากดูในภาพรวมแล้วการควบคุมโรคในขณะนี้ไม่น่ากังวล แต่เมื่อ 6 เดือนก่อนเราไปติดกับดัก แต่ตอนนี้เรารู้วิธีรักษาว่าจะดูแลอย่างไรไม่ให้เสียชีวิต แนวทางป้องกันไม่ให้แพร่ระบาด ส่วนการระบาดระลอกใหม่คงเกิดขึ้นแน่นอน เพราะมีแนวทางระบาดเหมือนโรคไวรัสทั่วไป ซึ่งต้องเพิ่มศักยภาพด้านสาธารณสุขในการตรวจ ติดตาม สอบสวนโรคให้เกิดความรวดเร็ว เพื่อสามารถควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้

“อย่าเพิ่งไปตั้งความหวังเรื่องวัคซีน หรือไปคิดว่าเชื้อมาจากต่างประเทศ คนไทยต้องปรับวิถีชีวิตอยู่อย่างสะอาดเพิ่มมากขึ้น หมั่นล้างมือ ไม่พูดคุยขณะกินอาหาร ชำระล้างร่างกายสม่ำเสมอ และไม่ไปในที่อโคจรคือแหล่งที่มีคนแออัด” นพ.นิธิ กล่าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ยอดส่งออกที่ทำรายได้เข้าประเทศราว 60% ของ GDP หดตัวรุนแรง อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนที่ยอดส่งออกหดตัวจากปีก่อนราว 40% จนต้องปรับลดเป้าลง 50%

อย่างไรก็ตาม วิกฤตที่เกิดขึ้นมีหลายอุตสาหกรรมมีโอกาสเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องมือแพทย์ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองก็ต้องมีการปรับตัว เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ จากเดิมผลิตเสื้อกีฬาปรับเปลี่ยนมาเป็นชุด PPE ปรับรูปแบบการค้าเป็นออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างงานในภูมิภาค เช่น การผลิตแอลกอฮอล์ ที่สามารถทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ได้ และอยากเสนอรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 63)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top