- ศบค.สรุปยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย วันนี้ (11.30 น.)
- ผู้ติดเชื้อสะสม 3,220 คน (+3)
- เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ = 0 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) = 3 ราย
- ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกันเป็นวันที่ 49
- รักษาหายแล้ว 3,090 คน (+2)
- ผู้ป่วยรักษาอยู่โรงพยาบาล 72 คน (+1)
- เสียชีวิตสะสม 58 คน (+0)
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศที่พักอยู่ใน State Quarantine ส่วนในประเทศไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่องเป็นเวลา 49 วันนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.เป็นต้นมา
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,220 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,444 ราย และผู้ป่วยใน State Quarantine จำนวน 283 ราย วันนี้มีผู้หายป่วยเพิ่ม 2 ราย ทำให้จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,090 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ได้แก่ รายแรกเป็นชายไทยวัย 48 ปี อาชีพรับจ้าง มาจากคูเวตถึงไทยวันที่ 29 มิ.ย.เข้าพักใน State Quarantine ที่กทม. ตรวจครั้งแรกวันที่ 2 ก.ค.ไม่พบเชื้อ และตรวจซ้ำในวันที่ 11 ก.ค.พบเชื้อแต่ไม่มีอาการ พบประวัติเสี่ยงจากการทำงานเป็นช่างทั่วไปในบริษัทแห่งหนึ่งตั้งแต่เดือน พ.ย.62 พักในแคมป์คนงานที่มีผู้ป่วยโรคโควิด-49 ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก อีกทั้งพบผู้ที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกับติดเชื้อ 10 ราย
รายที่ 2 เป็นหญิงไทยวัย 22 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางจากบาห์เรนถึงไทยวันที่ 12 ก.ค.ตรวจคัดกรองพบมีอาการไข้และพบเชื้อ จึงส่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา
ส่วนรายที่ 3 เป็นชาวอิยิปต์วัย 43 ปี อาชีพทหารเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจในไทยวันที่ 8 ก.ค.โดยเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง จ.ระยอง จากนั้นวันที่ 9 ก.ค.เดินทางออกจากโรงแรมบินไปปฏิบัติภารกิจทางทหารในประเทศจีนและกลับมาวันเดียวกันแล้วเข้าพักในโรงแรมแห่งเดิมใน จ.ระยอง ผลตรวจพบเชื้อในวันที่ 10 ก.ค.ส่วนลูกเรืออีก 30 รายยังตรวจไม่พบเชื้อ ตรวจซ้ำในวันที่ 11 ก.ค.จากนั้นเดินทางกลับไปยังอียิปต์ แต่ผลตรวจออกมาในวันที่ 12 ก.ค.ยืนยันการติดเชื้อ ไม่มีอาการทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการสืบสวนโรคผู้ที่อาจสัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวใน จ.ระยอง
“ในแนวทางการสอบสวนโรคแม้ว่าทหารรายนี้จะเดินทางเข้ามาในลักษณะของลูกเรือ ซึ่งถ้าจำได้แนวปฏิบัติในข้อกำหนดตามมาตรา 9 ซึ่งเป็นฉบับที่ 6 ที่ประกาศออกมาว่ามี 11 กลุ่มที่เป็นลูกเรือที่ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาประเทศตามภารกิจหรือมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ชัดเจน กลุ่มพวกนี้เดินทางเข้ามาได้มีที่พักให้เดิมเป็นโรงแรมแถวสุวรรณภูมิ แต่ปรากฎว่าทหารชุดนี้เดินทางเข้ามาวันที่ 6 ก.ค.จากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ วันที่ 7 ก.ค.เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน วันที่ 8 ก.ค.เดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอ.เมือง จ.ระยอง วันที่ 9 ก.ค.ออกจากโรงแรมไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อไปทำภารกิจทางทหารที่เมืองเฉินตู สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วเดินทางกลับมาในวันเดียวกันและเข้าพักที่โรงแรมเดิมในจ.ระยอง ต่อมาเช้าวันที่ 10 ก.ค.มีการตรวจคัดกรองทั้งคณะเดินทางและลูกเรือ เก็บตัวอย่างส่งตรวจจำนวน 31 ราย วันที่ 11 ก.ค.เวลา 11.30 น.คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์ ซึ่งในวันนั้นผลตรวจทางห้องปฏิบัติการออกมาไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำอีกครั้ง ผลมาออกวันที่ 12 ก.ค.วันนี้วันที่ 13 จึงมารายงาน”
โฆษก ศบค. ระบุ
ดังนั้นโรงแรมที่ระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่สัมผัสกับผู้พบเชื้อ เพราะฉะนั้นมาตรการสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้
ทั้งหมด
นอกจากนี้ ในระหว่างที่สอบสวนโรคพบว่า ทีมลูกเรือนี้ได้ออกจากโรงแรมไปยังสถานที่บางแห่งใน จ.ระยอง ทำให้ฝ่ายสอบสวนโรคจะต้องสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสทุกแห่งที่กลุ่มนี้เดินทางไป เช่น ห้างสรรพสินค้าบางแห่งใน จ.ระยอง
“ณ ตอนนี้ถ้าประชาชนคนใดเข้าใจว่ามีความเสี่ยงหรือเป็นผู้สัมผัสขอให้โทรเข้ามาที่ 1422 ซึ่งจะทำให้เราปฏิบัติงานและเข้าใจในมาตรการควบคุมโรคได้ดีขึ้น และทำให้ต้องมีการทบทวนและปฏิบัติในเรื่องของมาตรการกันใหม่”
โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีของเด็กหญิงอายุ 9 ปีที่เดินทางมาจากแอฟริกาพร้อมครอบครัวของคณะทูต พบว่า วันที่ 7 ก.ค.มารดานำผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คนไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่ รพ.แห่งหนึ่งที่ซูดาน ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ และผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คนเดินทางมาถึงไทยเวลา 05.40 น. วันที่ 10 ก.ค. ผลคัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวส่งตรวจ ผลพบเชื้อ แต่บิดานำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่รพ.แห่งหนึ่งใน กทม. มีการตรวจซ้ำและพบเชื้อ แต่ได้นำสมาชิกที่เหลือกักกันในที่พำนักที่คอนโดแห่งหนึ่งใน กทม.
วันที่ 11 ก.ค.ผลตรวจแพทย์พบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่ รพ.แห่งหนึ่ง
สำหรับกรณีรายนี้ซึ่งเป็นบุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศซึ่งมาปฏิบัติงานในประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึงต้องเข้ารับการกักกันของต้นสังกัด 14 วัน ทั้งนี้ทีมสอบสวนโรคจะต้องไปสอบสวนโรคในพื้นที่คอนโดฯ แห่งนี้ ซึ่งขอให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้เข้าใจ และให้ความร่วมมือ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะผู้ป่วยรายนี้อาการน้อยมากๆ และการมาไทยเป็นระยะเวลาสั้นๆ
“คงไม่ไปกล่าวโทษ เนื่องจากเข้ามาในช่วงที่มีการอนุญาตทุกอย่าง ตนในฐานะโฆษก ศบค.ก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด ละเลย หรือตั้งใจกระทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้อง แต่เป็นจุดที่เราต้องเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อต่อเป็นรายละเอียดปลีกย่อย หลากหลายมากมาย ก็ต้องเรียนรู้และค่อยๆ ทำร่วมกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีความเสียหายอะไรที่เป็นประเด็น แต่ถ้าสามารถควบคุมโรคได้และปิดจุดอ่อนและนำให้เกิดระเบียบปฏิบัติให้ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป…ในเมื่อเป็นความเสี่ยงเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมากำหนดมาตรการที่ครอบคลุมกว่านี้ ต้องเรียนรู้ไปร่วมกัน เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ เมื่อพบปัญหาแบบนี้ก็ต้องละเอียดกันยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ ศบค.ได้พูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ทำความเข้าใจสถานทูตต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือ เพื่อทำให้เกิดความเรียบร้อยมากขึ้น เรียนรู้ไปด้วยกันว่าต้องเป็นแบบนี้
โฆษก ศบค. กล่าวตอบข้อซักถามถึงกรณีของเด็กอายุ 9 ขวบ และลูกเรือ ลงเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา แล้วเดินทางไประยองทำไมถึงไม่กักตัวนั้นถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่เกิดขึ้น เด็กหญิงที่มากับครอบครัวคณะทูต ซึ่งได้ให้สถานทูตเป็นต้นสังกัดในการกักกัน ซึ่งเราเชื่อใจและให้เกียรติแต่เมื่อพบว่าสถานที่พำนักกลายเป็นคอนโดฯ จึงต้องมีการกำชับและขอให้ร่วมกันรับผิดชอบ และมีมาตรการมากขึ้นซึ่งเมื่อเช้านี้ในที่ประชุม ศบค.ได้มอบให้กระทรวงการต่างประเทศได้ทำความเข้าใจกับสถานทูตต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือในการทำให้เกิดความเรียบร้อยมากกว่านี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียนรู้ไปด้วยกัน และเข้าใจตรงกันว่าจะต้องเป็นแบบนี้ 14 วันนี้จะต้องอยู่ในสถานที่ของท่านจริงๆ ไม่ต้องออกมา
“ข่าวนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่ขอให้ประชาชนรับทราบว่ามันใกล้ตัวเรามาก การจะเกิดติดเชื้อระลอก 2 มันเริ่มใกล้เข้ามาแล้วขอให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี เพื่อจะได้ปลอดโรคปลอดภัยไปนานาเท่านาน”
นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ส่วนกรณีคนต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดนนั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ถ้าเข้ามาถ้าตรวจพบก็จะผลักดันออกไป ดังนั้นขอความร่วมมือจากประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตาถ้าพบคนไม่คุ้นหน้าให้ช่วยกันดูแลด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ก.ค. 63)
Tags: COVID-19, ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน, ศบค., ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19, โควิด-19