นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในเครือธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อไลฟ์สไตล์ของคนไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการใช้เงินแบบดิจิทัล ซึ่งจะเห็นได้จากยอดเปิดบัญชีผ่าน K+ ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่เทคโนโลยีไร้สัมผัส (Contactless Technology) ก็จะขึ้นมามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และรองรับวิถีชีวิตแบบใหม่หรือ New Normal ของสังคมไทย
บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยีของ KBANK จึงได้พัฒนา 6 เทคโนโลยีโฉมใหม่แบบไร้สัมผัส ประกอบด้วย
- Face Check-in เทคโนโลยีการสแกนตรวจสอบใบหน้าที่สามารถระบุตัวตน แม้สวมหน้ากากอนามัยอยู่ ทั้งยังมีการแจ้งเตือนสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอีกด้วย เพื่อรองรับ New Normal ของสังคมไทยในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
- KLox บริการตู้ล็อกเกอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถเปิด/ปิดล็อกเกอร์ได้โดยสแกนการตรวจสอบใบหน้าแบบไร้การสัมผัส เปิดให้ใช้งานจริงแล้วที่อาคาร K+ สามย่าน
- Eat by Black Canyon ซึ่ง KBTG ร่วมกับ Black Canyon สร้าง New Normal ของวงการคาเฟ่และร้านอาหาร ให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารและชำระเงินผ่านตู้อัตโนมัติโดยไม่ต้องสื่อสารกับพนักงาน ซึ่งตู้ดังกล่าวถูกออกแบบให้ใช้ระบบ Contactless Menu ที่อาศัยความเคลื่อนไหวของมือในการสั่งการ จึงไม่จำเป็นต้องสัมผัสโดนหน้าจอ
- Contactless Menu ระบบสั่งอาหารผ่านหน้าจอแทบเล็ตที่สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของมือให้ลูกค้าทำรายการได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ 5. Face Pay รูปแบบการชำระเงินค่าสินค้าและบริการผ่านการตรวจสอบสแกนใบหน้า เพื่อยืนยันการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ใช้งาน ฉับไวและปลอดภัยเพียง 2 ขั้นตอนง่ายๆ และ 6. ReKeep บริการใบเสร็จรับเงินในรูปแบบดิจิทัลสำหรับร้านค้า ที่ให้ลูกค้าสามารถรับใบเสร็จในรูปแบบดิจิทัลผ่านการสแกน QR Code ช่วยลดการสัมผัส ลดการใช้การดาษ (Paperless) และช่วยลดโลกร้อน
ทั้งนี้ KBTG พยายามสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยริเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีโฉมใหม่แบบไร้สัมผัสเหล่านี้ เพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ควบคู่ไปกับความพยายามในการรักษาและฟื้นฟูศักยภาพทางเศรษฐกิจและธุรกิจ มีการปรับแนวคิด วิสัยทัศน์ วิธีการจัดการ ตลอดจนพฤติกรรมที่เคยทำมาเป็นประจำโดยเริ่มต้นจากร้านอาหาร และต่อยอดไปในแวดวงธนาคาร
“ด้วยการผลักดันธนาคารกสิกรไทยสู่การเป็น Future of Banking เราพร้อมต่อยอด Contactless Technology พร้อมส่งต่อให้กับธุรกิจกลุ่มเอนเตอร์เทนเมนท์ แฟชั่น และสุขภาพในอนาคต ซึ่งสิ่งใหม่เหล่านี้จะกลายเป็น New Normal และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้เกิดความคุ้นชินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติของผู้คนในสังคม”
นายเรืองโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น K+ ทั้ชหมด 13 ล้านราย และมีปัจจัยหนุนที่ช่วยกระตุ้นการหันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน K+ เพิ่มขึ้น จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นมาเป็น 277 ล้านรายการ ผ่าน K+ ในช่วงเดือนเม.ย. หรือเติบโต 68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณการทำธุรกรรมผ่าน K+ เพียง 165 ล้านรายการ
นอกจากนี้ในช่วงเดือน เม.ย.ที่มีการล็อกดาวน์และสาขาของธนาคารได้ปิดให้บริการชั่วคราวในบางสาขา จะเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ใช้บริการที่ต้องการเปิดบัญชีเงินฝาก ได้ปรับตัวหันมาเปิดบัญชีผ่านผ่านแอปพลิเคชั่น K+ มากขึ้น โดยที่จำนวนการเปิดบัญชีผ่าน K+ เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บัญชีในช่วงเดือนเม.ย.หรือเพิ่มขึ้น 16 เท่า จากช่วงเดือนก.พ.ที่มีจำนวนบัญชีเงินฝากที่เปิดผ่าน K+ อยู่ที่ 6,000 บัญชี ซึ่งโควิด-19 เป็นปัจจัยที่เข้ามาเร่งการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานผ่านโมบายแบงก์กิ้งให้เพิ่มมากขึ้นกว่าภาวะปกติ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 63)
Tags: KBANK, KBTG, New Normal, QR Code, กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี, ธนาคารกสิกรไทย, บัญชีเงินฝาก, วิถีชีวิตแบบใหม่, เรืองโรจน์ พูนผล, แอปพลิเคชั่น, โมบายแบงก์กิ้ง