บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า ในสัปดาห์ถัดไป (1-5 มิ.ย.) ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,320 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,355 และ 1,380 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ของไทย สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต-บริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนพ.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป รวมถึงดัชนี PMI เดือนพ.ค.ของยูโรโซนและจีน
โดยในรอบสัปดาห์นี้ หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,342.85 จุด เพิ่มขึ้น 2.98% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 77,688.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.22% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 4.09% จากสัปดาห์ก่อน มาปิดที่ 284.87 จุด
หุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วงต้น-กลางสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากการคลายล็อกเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนรักษาไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงในเวลาต่อมา หลังสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อทางการจีนมีมติเห็นชอบบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ การพิจารณาปลดล็อกกิจกรรม/กิจการในประเทศระยะ 3 มีส่วนช่วยหนุนหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 63)
Tags: กฎหมายความมั่นคง, กสิกรไทย, การค้าจีน-สหรัฐ, ฮ่องกง, เงินเฟ้อ