นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองแนวโน้มราคาถ่านหินในระยะสั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้เริ่มปรับตัวขึ้นมาได้บ้าง ล่าสุดอยู่ที่ 53 เหรียญฯ/ตัน หลังซัพพลายเออร์ตอบรับปรับลดกำลังการผลิตลง
โดยเชื่อว่าราคาถ่านหินได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งในระยะแรกคาดราคาถ่านหินน่าจะอยู่ที่ 50-60 เหรียญฯ/ตัน และในระยะยาวคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญฯ/ตัน โดยเชื่อว่าราคาถ่านหินจะยังไม่สามารถกลับขึ้นไปสู่ระดับ 100 เหรียญฯ/ตันได้
“ทิศทางราคาถ่านหินในช่วงนี้ยังคงมีความผันผวนอยู่ จากซัพพลายที่มีมากกว่าดีมานด์ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง ตามระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงด้วย”
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้วางนโยบายเพื่อต่อสู้กับราคาถ่านหินที่ผันผวน แม้จากเดิมจะมุ่งเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนอยู่แล้ว แต่จะมุ่งเน้นให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยวางเอาไว้ 4 ด้าน ได้แก่
- ประสิทธิภาพการผลิต ทั้งในอินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย, จีน ตั้งเป้าผลิตให้เป็นไปตามแผน
- การลดต้นทุน โดยขอให้ทุกหน่วยลดต้นทุนการผลิตลงอย่างน้อย 15% และเน้นให้กลับไปทบทวนถึงแผนการผลิต ทั้งระยะสั้น ระยะยาว โดยพยายามเน้นผลิตในส่วนที่ต้นทุนต่ำที่สุดให้มากขึ้นในช่วงนี้ รวมถึงต้นทุนการบริหารจัดการต่างๆ และพยายามลดระยะทางการขนส่งด้วย โดยเฉพาะในเหมืองที่อินโดนีเซีย
- ด้านการตลาด เน้นขายไปในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีราคาค่อนข้างดีและทารงตัวได้ดีกว่าราคาส่งออก โดยเฉพาะที่ประเทศออสเตรเลีย บริษัทฯ ก็มีการทำ fixed price มากขึ้น
- การบริหารเงินสด เน้นลงทุนในสิ่งที่จำเป็น ควบคุมการใช้เงินมากขึ้น เพื่อรักษาระดับเงินสด
ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมา ราคาก๊าซในสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากมีซัพพลายค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับดีมานด์ แต่ปัจจุบันราคาเริ่มฟื้นตัวขึ้น จากหลายแหล่งที่ผลิตก๊าซในสหรัฐฯ มีการปิดหลุมผลิตลง โดยกำลังการผลิตที่มีแนวโน้มจะลดลง ทำให้นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าราคาก๊าซน่าจะดีดกลับขึ้นมาได้ในช่วงปลายปีนี้
เห็นได้จากราคาซื้อขายก๊าซล่วงหน้าของสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี 63 ถึงต้นปี 64 ราคาปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3 เหรียญฯ/ล้านบีทียู จากราคาปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.7 เหรียญฯ/ล้านบีทียู ทำให้คาดว่าในไตรมาส 1 และ 2 นี้ ราคาก๊าซที่อยู่ในระดับต่ำน่าจะยังคงกดดันผลประกอบการอยู่ แต่ในช่วงที่เหลือของปีน่าจะปรับตัวดีขึ้น ตามแนวโน้มราคาก๊าซ
ด้านนายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) กล่าวว่า บริษัทฯ ยืนยันสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการได้ตามแผนปีนี้ กำลังการผลิตรวม 424 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น
1. โรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (Shanxi Lu Guang) ประเทศจีน กำลังผลิต 396 เมกะวัตต์ คาดจะ COD ได้ในไตรมาส 4/63 จากปัจจุบันก่อสร้างไปแล้ว 76%
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น จำวน 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยามางาตะ กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ คาด COD ได้ในไตรมาส 3/63 ปัจจุบันก่อสร้างไปแล้ว 96% และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ คาด COD ในไตรมาส 4/63 ก่อสร้างไปแล้วราว 46%
3.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมซอกจาง (Soc Trang) เฟส 1 ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ คาดจะสามารถ COD ในไตรมาส 4/63
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวได้อย่างชัดเจนในปี 64
ส่วนแผนการลงทุนต่างๆ ในปีนี้ เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ได้มีการระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น และพยายามบริหารจัดการต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น ขณะที่แผนการลงทุนโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติที่สหรัฐฯ และเวียดนาม ยอมรับว่าการศึกษามีความล่าช้าออกไป เนื่องจากทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะที่ประเทศสหรัฐฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ค. 63)
Tags: BANPU, BPP, กิรณ ลิมปพยอม, ถ่านหิน, บ้านปู, บ้านปู เพาเวอร์, สมฤดี ชัยมงคล, หุ้นไทย, โรงไฟฟ้า