นายกฯ ยันไม่ยื้อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมยกเลิกหากสถานการณ์น่าไว้วางใจ

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ตลอดเพื่อประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยล่าสุด ศบค.ได้อนุมัติให้มีการผ่อนคลายระยะที่ 2 จากการประเมินการผ่อนคลายระยะที่ 1 หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเป็นลำดับ รวมทั้งความร่วมมือของประชาชนทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะยังดำเนินการไม่ได้ทันที

“รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบกับประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลจำเป็นยังต้องให้คงอยู่ เพราะจากการรายงานของผู้ติดเชื้อไว้รัสโควิด-19 ในแต่ละวันยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อผันผวน แม้บางวันไม่มีผู้ติดเชื้อแต่บางวันยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องให้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อฯหยุดนิ่งก่อน เพราะเราต้องรักษาชีวิตประชาชนก่อน”

นางนฤมล กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายทุกส่วน พร้อมรับฟังคำแนะนำและข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ แต่การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเวลานี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อถึงเวลาและสถานการณ์การแพร่ระบาดสามารถควบคุมได้ดีขึ้น ประกอบกับประชาชนให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง รัฐบาลก็สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ทุกภาคส่วนก็ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวดด้วย

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ประวิงเวลาในการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือต้องการรักษาอำนาจไว้อย่างที่หลายฝ่ายนำไปเป็นประเด็นกล่าวหา รัฐบาลเข้าใจดีว่าวันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ รัฐบาลก็กำลังดำเนินการแก้ปัญหา และช่วยเหลือประชาชนในทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอยู่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมมือกันแก้ปัญหาเพื่อประชาชน และเพื่อเศรษฐกิจไทยจะเดินต่อไปข้างหน้าได้ เช่น ขณะนี้รัฐบาลก็เริ่มผ่อนคลายให้สถานประกอบการหลายแห่ง เริ่มดำเนินกิจกรรมได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดของ ศบค. และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นต่อเนื่อง ทุกธุรกิจและทุกกิจกรรม ก็จะสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้เพิ่มขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ ศบค.มีรายงานว่า ประชาชนเริ่มละเลยการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยหลังจากผ่อนปรนมาตรการ โดยพฤติกรรมการป้องกันโรคโดยรวมลดลงจาก 77.6% มาอยู่ที่ 72.5% การสวมหน้ากากลดลงจาก 91.2% มาอยู่ที่ 91.0% การล้างมือลดลงจาก 87.2% มาอยู่ที่ 83.4% การกินร้อน/ใช้ช้อนกลางลดลงจาก 86.1% มาอยู่ที่ 82.3% การเว้นระยะห่างลดลงจาก 65.3% มาอยู่ที่ 60.7% และการเอามือจับส่วนใบหน้าลดลงจาก 62.9% มาอยู่ที่ 52.9% ขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดมากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top