โบรกเกอร์ แนะนำ”ซื้อ”หุ้น บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) คาดผลประกอบการพ้นจุดต่ำสุดของปีในไตรมาส 1/63 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/63 จากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังปรับตัวลงแรงทำให้ขาดทุนสต็อกน้ำมัน

ประกอบกับ ความต้องการในประเทศเพิ่มขึ้นจากการที่ภาครัฐสามารถเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ขณะที่ความต้องการในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในจีนและมาเลเซีย จากเคยชะลอเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน ประเด็นข้อกังวลเรื่องผลกระทบจากเชฟรอนหยุดผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลามองว่า TASCO มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากไม่ได้รับน้ำมันดิบจากเชฟรอนเป็นหลัก อีกทั้งปัจจุบันมีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตไปจนถึงช่วงครึ่งหลังปีนี้ จึงยังมีเวลาให้สามารถเปลี่ยนแหล่งในการหาวัตถุดิบได้
พักเที่ยงหุ้น TASCO อยู่ที่ 17.30 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 1.70% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 1.18%
โบรกเกอร์ | คำแนะนำ | ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) |
ทิสโก้ | ซื้อ | 21.00 |
ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ | ซื้อ | 22.00 |
กสิกรไทย | ซื้อ | 21.50 |
เอเชีย เวลท์ | ซื้อ | 23.20 |
เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ | ซื้อ | 20.00 |
หยวนต้า (ประเทศไทย) | ซื้อ | 23.60 |
นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า TASCO มีประเด็นกระทบในช่วงสั้น โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1/63 ขาดทุนมากกว่า 500 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันราว 1.5 พันล้านบาท แต่ยังมีกำไรจากการทำ Hedging ราว 600 ล้านบาท ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้คำสั่งซื้อทั้งในและนอกประเทศชะลอออกไป ทำให้ราคาขายยางมะตอยในไตรมาส 1/63 ลดลง แต่ความต้องการในต่างประเทศกระทบเพียงในตลาดจีนและมาเลเซียเท่านั้น
แต่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 คาดว่าจะกลับมามีกำไรปกติอยู่ที่ราว 400-500 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ส่งผลให้อาจมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ต้นทุนน้ำมันดิบที่ยังอยู่ระดับต่ำ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการกำจัด Downside risk ของประมาณการ จึงปรับกำไรปกติปี 63 ลง 12.3% เป็น 2.53 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.1% จากปีก่อน และคาดกำไรขั้นต้นลดลงเป็น 12.6% เพราะผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/63 ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้
“หากราคาน้ำมันมีการฟื้นตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้ในไตรมาส 2/63 จะค่อย ๆ ฟื้นตัวเป็นภาพที่กลับกันจากไตรมาสก่อนจากประเด็นหลักคือ ดีมานด์ในจีนฟื้นตัวจากที่เคยดีเลย์ไป และดีมานด์ในประเทศเพิ่มขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ได้ จะทำให้ไตรมาส 2/63 มีกำไรถึง 500 ล้านบาทได้ไม่ยาก”
นายธีร์ธนัตถ์ กล่าว
นอกจากนี้ยังประเมินผลกระทบเรื่องเชฟรอน หยุดผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลาที่อาจมีประเด็นกังวลนั้น มองว่ายังไม่มีความเสี่ยง เนื่องจาก TASCO ไม่ได้รับน้ำมันดิบจากเชฟรอนเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น ยังคงแนะนำซื้อหุ้น TASCO พร้อมกับให้รอจังหวะการลงทุนหลังมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/63 เป็นต้นไป
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า คาดผลประกอบการของ TASCO จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/63 จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันฟื้นตัว หลังผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้อุปสงค์และแผนการลงทุนถูกชะลอออกไปเป็นไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในไทยที่จะมีการเร่งการลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้อุปสงค์ในประเทศยังแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนแอในไตรมาส 2/63 อาจทำให้ TASCO ต้องตั้งสำรองเพิ่มเติม แต่จะไม่มากเท่าในไตรมาส 1/63 ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน ณ สิ้นไตรมาส แต่คาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ดี คาดว่าผลประกอบการได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/63 ด้วยราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 63% จากสิ้นปีก่อน เป็น 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ณ สิ้นไตรมาส 1/63 ทำให้ TASCO จะมีผลขาดทุนจากสต็อกราว 1.5 พันล้านบาทในไตรมาส 1/63 ขณะที่มีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยง 450 ล้านบาท
ด้านปริมาณการขายคาดอยู่ที่ 3.5 แสนตัน ลดลง 12.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 41.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 หลังอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง และการเลื่อนส่งออกไปยังจีน ทำให้คาดผลประกอบการขาดทุน 827 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 เทียบกับกำไร 718 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 และ 733 ล้านบาทในไตรมาส 4/62
นอกจากนี้ประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งให้เชฟรอนยุติการผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลาตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไป เพื่อกดดันรัฐบาลของเวเนซุเอลา มองว่าจะมีผลกระทบต่อ TASCO มีจำกัดในปีนี้ เนื่องจากมีน้ำมันสำรองไปจนถึงเดือน ต.ค. และเชฟรอนจะหยุดผลิตในเดือน ธ.ค. ขณะที่เชฟรอนที่ผลิตเพียง 3.5 หมื่นบาร์เรล/วัน หรือ 2.3% ของกำลังการผลิตทั้งประเทศที่ 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน อีกทั้งปริมาณการสั่งซื้อของ TASCO คิดเป็นกำลังการผลิต 2.2% ของเวเนซุเอลาเท่านั้น และยังมีเวลาให้ TASCO เปลี่ยนแหล่งในการหาวัตถุดิบใหม่ได้
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของ TASCO จะขาดทุนสุทธิ 808 ล้านบาท เพราะมีขาดทุนสต็อก 1.5 พันล้านบาท และมีกำไร Hedging ราว 541 ล้านบาท คาดว่าไตรมาส 1/63 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดยประเมินว่าปริมาณขายจะลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3 แสนตัน ต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยเป็นผลจากงบประมาณปี 63 ของไทยล่าช้า และอุปสงค์ในจีนและมาเลเซียลดลงในช่วงปิดประเทศชั่วคราว เพราะสถานการณ์โควิด-19
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 1/63 คาดไว้ที่ 9.5% ลดจาก 12.3% ในไตรมาส 4/62 และคาดกำไรหลักในไตรมาส 1/63 เพิ่มขึ้น 151% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 78% จากไตรมาส 4/62 เป็น 151 ล้านบาท
นอกจากนี้ มองว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะดีขึ้น โดยปัจจุบันมีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตถึงก.ค.63 โดยปีนี้คาดได้รับวัตถุดิบ 15 Shipments เท่ากับปีก่อน ขณะที่โรงกลั่นในมาเลเซียกลับมาผลิตได้ตามปกติ ส่วนความต้องการในจีนจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ เม.ย.63 และในไทยที่ดีขึ้นเป็นเท่าตัว อีกทั้งราคาขายในไตรมาส 2/63 คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ค. 63)
Tags: TASCO, ทิปโก้แอสฟัลท์, ธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์, ธุรกิจน้ำมัน, น้ำมันดิบ, เชฟรอน