ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับรายงานที่ว่า รัฐต่างๆในสหรัฐได้เริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์และเปิดเศรษฐกิจบางส่วน รวมทั้งข่าวความคืบหน้าในการผลิตยาและวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,883.09 จุด เพิ่มขึ้น 133.33 จุด หรือ+0.56% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,809.12 จุด เพิ่มขึ้น 98.41 จุด หรือ +1.13% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,868.44 จุด เพิ่มขึ้น 25.70 จุด หรือ+0.90%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 อันเนื่องมาจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้เริ่มปรับลดการผลิตเพื่อรับมือกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังดีดตัวขึ้นขานขานรับข่าวการคลายมาตรการล็อกดาวน์ของหลายรัฐในสหรัฐ โดยนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า รัฐนิวยอร์กจะเริ่มเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยจะมีการเปิดเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศว่า รัฐแคลิฟอร์เนียจะอนุญาตให้ธุรกิจค้าปลีกบางส่วนกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยทางรัฐจะดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทางด้านนายเจย์ อินสลีย์ ผู้ว่าการรัฐวอชิงตันได้ประกาศแผน Safe Start ซึ่งจะเปิดทางให้รัฐวอชิงตันสามารถทยอยเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ รัฐอลาสกา, จอร์เจีย, เซาธ์ แคโรไลนา, เทนเนสซี และเท็กซัส ก็ได้เริ่มให้ร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการแก่ลูกค้า
ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้เริ่มทำการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในคนในสหรัฐแล้ว และทางบริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนหลายล้านโดสภายในปลายปีนี้
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์พุ่งขึ้นขานรับข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการทดลองวัคซีนต้านไวรัส โดยหุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.37% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บวก 0.83% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 3.57% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 1.5%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.07% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นเฟซบุ๊ก 0.88% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.97% หุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 1.3%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐเผชิญภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ทศวรรษ โดยถูกกดดันจากการที่กิจกรรมในภาคธุรกิจหยุดชะงักลง ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 26.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 39.8 ในเดือนมี.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะหดตัว โดยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนเม.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ค. 63)
Tags: ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก, ราคาน้ำมัน, ไฟเซอร์ อิงค์