- พาณิชย์ เผยอัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย.63 หดตัว -2.99% YoY เฉลี่ย 4 เดือนแรกปีนี้อัตราเงินเฟ้อ -0.44%
- ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือน เม.ย.63 ขยายตัว 0.41% YoY เฉลี่ย 4 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ -0.50 %
- เงินเฟ้อ เดือน เม.ย. หดตัวแรงสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน จากผลของราคาพลังงานลดลง
- ไทยยังไม่เข้าภาวะเงินฝืด ชี้สินค้าส่วนใหญ่ราคาไม่ได้ลดลง
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ ในเดือน เม.ย.63 อยู่ที่ 99.75 ลดลง -2.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง -2.03% จากเดือน มี.ค.63 โดยในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ของปี 63 เฉลี่ย -0.44%
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือน เม.ย.63 อยู่ที่ 102.82 เพิ่มขึ้น 0.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง -0.07% จากเดือน มี.ค.63 และช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) เฉลี่ย -0.50%
ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 105.03 เพิ่มขึ้น 1.04% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัว 0.08% จากเดือน มี.ค.63 ส่วนดัชนีหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ 96.79 ลดลง -5.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง -3.28% จากเดือน มี.ค.63
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.63 หดตัวแรงสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เนื่องจากการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 11 ปี นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา รวมถึงสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพบางรายการราคาลดลงจากมาตรการของภาครัฐที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่ภาพรวมสินค้าในกลุ่มอาหารสดยังขายตัวได้ต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องภัยแล้ง
“การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปแบบต่างๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ศักยภาพการผลิตและความสามารถด้านการแข่งขันของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี” น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
พร้อมระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.ที่ลดต่ำลงอย่างมาก ได้สะท้อนถึงภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นขาลง ประกอบกับปัจจัยในประเทศเองที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่ยังมีข้อจำกัดจากการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
อันเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมองว่าในปีนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศคงยากที่จะหวังพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่การบริโภคในประเทศน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนได้มากกว่า ดังนั้นจึงต้องหวังพึ่งนโยบายและมาตรการต่างๆ จากภาครัฐเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศให้หมุนเวียนได้ต่อไป
“หลังจากมาตรการเยียวยา 5,000 บาทแล้ว รัฐบาลควรจะเพิ่มเติมนโยบายที่ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว แต่ทั้งนี้ ก็ยังต้องอยู่ในกรอบการดูแลด้านสาธารณสุข เพียงแต่อาจผ่อนปรนระเบียบบางอย่างลง เช่น การอนุญาตให้เปิดตลาดนัด เพื่อให้มีการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนได้ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การจัดระเบียบที่ดี” น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะติดลบแต่มองว่าประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะการจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดตามคำจำกัดความทางวิชาการได้นั้น อัตราเงินเฟ้อจะต้องติดลบต่อเนื่องกัน 3 เดือนหรือ 1 ไตรมาส ประกอบกับราคาสินค้าและบริการต่างๆ ส่วนใหญ่จะต้องปรับตัวลดลง แต่สถานการณ์ของไทยในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังติดลบต่อเนื่องกัน 2 เดือน ขณะที่ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับลดลง
“ถึงตอนนี้ไทยยังไม่เข้าภาวะเงินฝืดตามคำจำกัดความทางวิชาการ เพราะจะเข้าเงินฝืดได้ เงินเฟ้อต้องน้อยกว่า 0 ติดต่อกัน 3 เดือน และราคาสินค้าส่วนใหญ่ต้องปรับลดลง…แต่ในเดือนต่อไปก็ยังมีโอกาส คาดว่าเดือนหน้าอัตราเงินเฟ้อน่าจะติดลบต่อ จากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ” น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่าจะหดตัว -2.28% เนื่องจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในการใช้คำนวณอัตราเงินเฟ้อยังไม่เห็นแนวโน้มของราคาขาขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มองว่าในไตรมาส 3 และ 4 อัตราเงินเฟ้อน่าจะขยับดีขึ้น หากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้ แม้จะยังไม่ได้กลับมาอยู่ในระดับปกติเท่าเดิม
ทั้งนี้ สนค.ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับปีนี้ไว้ที่ -1.0 ถึง -0.2% ส่วนจะมีการพิจารณาปรับเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่หรือไม่นั้น ต้องรอติดตามสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ค. 63)
Tags: กระทรวงพาณิชย์, พิมพ์ชนก วอนขอพร, สนค, อัตราเงินเฟ้อ, เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจไทย