นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า นับจากต้นปี 63 ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรายเดือน และรายปี ซึ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีครึ่ง บริเวณ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันที่ 14 เม.ย. แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง แต่ราคาอ่อนตัวลงไม่มากและยังคงทรงตัวเคลื่อนไหวในระดับสูง อีกทั้งมีแนวโน้มราคาทองคำจะเป็นทิศทางขาขึ้นต่อไป
นอกจากนั้น ยังพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETFs ทองคำทั่วโลกปริมาณ 298 ตัน ถือเป็นการถือครองทองคำเพิ่มในรูปแบบตันที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 59 เฉพาะเดือน มี.ค.เดือนเดียว กองทุน ETFs ทองคำทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่มมากถึง 151 ตัน ส่งผลให้การถือครองทองคำของ ETFs ทองคำทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 3,185 ตัน
นำโดยกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือ และเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำเพิ่มในช่วงไตรมาสแรกของปี 73.75 ตัน ก่อนที่จะถือเพิ่มในช่วงครึ่งแรกของเดือน เม.ย.อีก 54.69 ตัน ทำให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 20 เม.ย. SPDR ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 136.34 ตัน จากระดับ 893.25 ตันสู่ระดับ 1,029.59 ตัน แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.56
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (World Gold Council) คาดว่า กระแสเงินทุนไหลเข้าการลงทุน ETFs ทองคำในปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดในวงกว้าง บวกรวมกับต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำลดลงจากการที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวลงจึงเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในทองคำ
ที่สำคัญ คือ จากสถิติในอดีตพบว่าในช่วง 3 ปีหลังจากการล้มละลายของ Lehman ในปี 51 ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ดำเนินมาตรการ QE 1-3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น กองทุน ETFs ทองคำเพิ่มการถือครองทองมากกว่า 100% ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นกว่า 600% จากระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด ดังนั้น หากเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้า ETFs ทองคำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ราคาทองคำในปีนี้ได้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ของ YLG ประเมินว่า ราคามีโอกาสทดสอบระดับ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งหากผ่านได้ประเมินแนวต้านโซน 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. , ก.ย. และ ต.ค.55 โดยถือเป็นเป้าหมายสำคัญของราคาทองคำในปีนี้ จึงแนะนำแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยง แต่หากราคาผ่านได้ สามารถชะลอการขายไปที่แนวต้านถัดไป
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าซื้อ YLG ไม่แนะนำให้นักลงทุนไล่ราคา เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงแต่เน้นรอราคาอ่อนตัวลงทดสอบกรอบแนวรับแรกบริเวณ 1,611 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (High ของช่วงเดือน ม.ค. ปี 2020) หากยืนได้แนะนำเข้าซื้อหวังทำกำไรจากการดีดตัวขึ้น แต่หากยืนไม่ได้มุมมองเชิงบวกจะลดลง โดยอาจถอยจุดซื้อไปยังแนวรับถัดไปบริเวณ 1,566-1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,566 =Low เดือน เม.ย.และ 1,547 =Low เดือน ก.พ.ปี 2020)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 เม.ย. 63)
Tags: YLG, ทองคำ, พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์, ราคาทอง, ราคาทองคำ, วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส